ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานข้อมูล กองทุนการเงินระหว่างประเทศสรุปการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2559 ว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 คณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Executive Board of the International Monetary Fund) ประชุมสรุปการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2559 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปี 2558 หลังจากที่ชะลอลงในช่วงก่อนหน้าจากเหตุการณ์ทางการเมือง โดยทั้งปีขยายตัวได้ร้อยละ 2.8 ด้วยแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการเร่งการใช้จ่าย ของภาครัฐ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 8 ของ GDP จากผลของอัตราการค้า (Terms of Trade: TOT)1 ที่ปรับดีขึ้น การนำเข้าที่หดตัวตามอุปสงค์ในประเทศ และการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบที่ร้อยละ 0.9 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. ที่ร้อยละ 2.5 ± 1.5 จากราคาพลังงานที่ลดลงเป็นสำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อคาดการณ์ในปี 2558 ปรับลดลงเช่นกัน ทั้งนี้ ตลาดการเงินไทยสามารถรับมือกับความผันผวนจากตลาดการเงินโลกได้ดี อีกทั้ง ระบบการเงินยังคงแข็งแกร่ง
ในระยะข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ ทั้งนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3 ในปี 2559 และ 3.2 ในปี 2560 ซึ่งยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ใน ASEAN รวมทั้งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอดีต
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากผลของราคาน้ำมันที่ลดลงมากในช่วงที่ผ่านมาทยอยหมดไป แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของ ธปท. จากแรงกดดันเงินเฟ้อ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำตามอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอ
สำหรับความท้าทายในระยะต่อไป (headwinds) มาจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย และข้อจำกัดของโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นอุปสรรคต่อศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย
อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานที่เข้มแข็งช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยสามารถเผชิญกับความท้าทายต่างๆ จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกได้ โดยเงินสำรองระหว่างประเทศและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับสูง และหนี้ต่างประเทศมีสัดส่วนต่ำ จะช่วยรองรับผลกระทบจากความอ่อนแอและความไม่แน่นอน ในภาวะเศรษฐกิจการเงินโลก นอกจากนี้ ระดับหนี้สาธารณะที่ไม่สูง การมีฐานนักลงทุนที่หลากหลาย และภาคธนาคารที่มีฐานะเงินกองทุนในเกณฑ์ดี รวมถึงสถาบันที่ดูแลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยเสริม ที่ช่วยรักษาความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ ทางการยังสามารถใช้ policy space ที่มีอยู่ใน การดูแลความเสี่ยงด้านต่ำที่อาจเกิดขึ้น
1 อัตราการค้า (Terms of Trade: TOT) คือราคาสินค้าส่งออกเทียบกับราคาสินค้านำเข้าของแต่ละประเทศ หาก TOT ปรับดีขึ้น หมายถึงประเทศนั้นๆ ได้ประโยชน์มากขึ้นจากการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกได้ราคาสูงขึ้นเทียบกับราคาสินค้า ที่นำเข้า
ผลการประเมินของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (คณะกรรมการฯ)คณะกรรมการฯ เห็นสอดคล้องกับการประเมินของเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศโดยเห็นว่าเศรษฐกิจไทยสามารถเผชิญความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน และมีสถาบันที่ดูแลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง คณะกรรมการฯ มองว่าฐานะภาคต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี โดยได้รับแรงสนับสนุนจากเงินสารองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ
สำหรับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะลดลงในระยะข้างหน้าเมื่ออุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้น และ TOTที่ปรับลดลง ทั้งนี้ การฟื้นตัวของไทยยังมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและมีความเสี่ยงด้านต่ำอยู่ ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ คณะกรรมการฯ จึงสนับสนุนให้ทางการดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและยั่งยืน ด้วยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบผ่อนปรน รวมทั้งใช้มาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพการเงิน และดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจควบคู่กันไป
คณะกรรมการฯ เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนปรน ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังในระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework: MTFF) และสนับสนุนให้ทางการเร่งดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐ โดยคำนึงถึงธรรมาภิบาลและความโปร่งใส นอกจากนี้ ทางการควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (social safety net) ให้สอดคล้องกับความท้าทายเชิงโครงสร้างมากกว่าการใช้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นในการสนับสนุนรายได้ภาคเกษตร โดยเน้น
ว่านโยบายภาครัฐภายใต้ MTFF ควรมุ่งเพิ่มรายได้ภาษีในระยะปานกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับภาระทางการคลังจากการดูแลประชากรผู้สูงอายุ คณะกรรมการฯ ชมเชยทางการที่ให้ความสำคัญกับการออกกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบด้านการคลัง (fiscal responsibility law) รวมถึงการทบทวนระบบประกันสุขภาพเพื่อดูแลให้ระบบมีความยั่งยืน พอเพียง เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปัจจุบันมีความเหมาะสม โดยในระยะต่อไปแม้จะยังสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้เพิ่มเติม แต่ควรคำนึงถึงการรักษาสมดุลระหว่างการสนันสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจกับการดูแลเสถียรภาพการเงิน รวมถึงการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy space) ในยามจำเป็น
คณะกรรมการฯ ชมเชยกรอบการดำเนินนโยบายการเงินของไทยที่มีมาตรฐานความโปร่งใสสูง และเสนอแนะให้ทางการสื่อสารถึงความตั้งใจที่จะดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ใน
กรอบเป้าหมายระยะปานกลาง ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของช่องทางการส่งผ่านนโยบายให้ดียิ่งขึ้นคณะกรรมการฯ แนะนำให้คงการใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นเป็นปราการด่านแรก (first line of defense)เพื่อช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
คณะกรรมการฯ สนับสนุนให้ใช้มาตรการ macroprudential ที่เข้มงวดขึ้น เพื่อดูแลเสถียรภาพการเงินในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่า อีกทั้งสนับสนุนความพยายามของภาครัฐในการเพิ่มความเข้มงวดในการกากับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs)รวมทั้งการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานกำกับต่างๆ ในการพัฒนากรอบการดำเนินมาตรการmacroprudential รวมถึงปรับปรุงกลไกป้องกันและแก้ไขวิกฤต (crisis prevention and resolution mechanisms) นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ เน้นย้ำให้ทางการเฝ้าดูแลความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risks)ที่อาจเกิดขึ้นจากความเชื่อมโยงของกลุ่มธุรกิจการเงิน และหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
คณะกรรมการฯ ย้ำให้ทางการร่วมกันดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (structural transformation) การพัฒนาคุณภาพระบบการศึกษา การฝึกสอนอาชีวศึกษา รวมทั้ง การบรรเทาผลกระทบของปัญหาสังคมผู้สูงอายุด้วยการปฏิรูประบบบานาญ ทั้งนี้ การยกระดับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ความคืบหน้าของการรวมตัวทางการค้าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ไทยกำลังประเมินผลกระทบ ของการเข้าร่วมความตกลง Trans-Pacific Partnership ในระยะต่อไป
ข่าวเด่น