นายฎรงค์กร สมตน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 กล่าวว่า สถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลัก ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังอยู่ในเกณฑ์น้อย ยังไม่สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการทำนาปีได้ ปัจจุบันมีน้ำใช้การได้ 1,370 ล้านลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้ต้องใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค ผลิตน้ำประปา ผลักดันน้ำเค็ม และรักษาระบบนิเวศ โดยมีการระบายน้ำจากเขื่อนหลักดังกล่าววันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร แม้ว่าช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนแล้วแต่การตกของฝนกระจายตัว และมีปริมาณไม่มาก แต่สถานการณ์ยังดีกว่าปีที่แล้วที่ไม่มีฝนเลยในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ฝนที่ตกลงมามีน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำในปริมาณที่น้อยมาก ในพื้นที่ลุ่มบางแห่งอาจมีน้ำฝนลงมาจนสามารถทำการเกษตรไปได้ก่อน ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาที่เริ่มทำการเพาะปลูกโดยอาศัยน้ำฝนแล้วจำนวน 3 แสนไร่เศษ
ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำจากปริมาณน้ำจากเขื่อนหลักที่ได้รับจัดสรรมาวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้สามารถใช้ได้เพียงส่งเข้าทุ่งฝั่งตะวันออก คลองชัยนาท-ป่าสัก เพียง 40 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งเข้าสู่ฝั่งตะวันตก ได้แก่ แม่น้ำน้อย และแม่น้ำท่าจีน อีก 40 ลูกบาศก์เมตร เพื่อการอุปโภคบริโภค การประปาที่เหลือระบายลงท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 75 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อผลักดันน้ำเค็ม และผลิตน้ำประปานครหลวง ซึ่งจะเห็นได้ว่ายังไม่สามารถจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกได้ หากจะจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกได้ปริมาณน้ำที่ส่งเข้าคลองชัยนาท-ป่าสัก ต้องมีปริมาณ 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงจะเพียงพอ ด้านปริมาณน้ำผ่านสถานีวัดน้ำ C2 จังหวัดนครสวรรค์ ขณะนี้อยู่ที่ 171 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะต้องมีปริมาณมากกว่า 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงจะเพียงพอสนับสนุนเพื่อการเกษตร จึงต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำต่อไปอีกระยะ คาดว่าช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี้จะมีฝนตกชุกมากขึ้น
ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
ข่าวเด่น