คณะรัฐมนตรีได้พิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อดูแลเกษตรกรรายย่อยได้มากขึ้น
วันนี้ ( 21 มิ.ย. 59) เวลา 14.15 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย
1) โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการเพาะปลูก 2557/58 กับกรมส่งเสริมการเกษตร หรือเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการเพาะปลูก 2559/60 รายละไม่เกิน 10 ไร่ ไร่ละ 1,000 บาท ทั้งนี้เดิมได้มีการกำหนดรายละ 1 – 15 ไร่ แต่การดำเนินการครั้งนี้ได้มีการลดลงมาเป็นรายละไม่เกิน 10 ไร่ ไร่ละ 1,000 บาท เพื่อให้สามารถดูแลเกษตรกรรายย่อยได้มากขึ้น
2) โครงการชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2559/60 โดยเป็นพักชำระต้นเงินให้แก่เกษตรกรที่มีหนี้เงินกู้วัตถุประสงค์เพื่อการผลิตข้าวกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเลื่อนกำหนดชำระคืนต้นเงินเป็นระยะเวลา 2 ปี และลดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3.00 ต่อปีให้เกษตรกร เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาในเรื่องของภัยแล้ง และให้สามารถผ่านพ้นในช่วงการเพาะปลูกข้าวขณะนี้ไปได้
3) โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรรายย่อยที่ต้องการพัฒนาศักยภาพ ระยะที่ 1 อบรมเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. กำหนดเป้าหมาย จำนวน 300,000 ราย โดยอบรมเกี่ยวกับความรู้ทางการเงิน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการฝึกปฏิบัติการจัดทำบัญชีครัวเรือน ระยะที่ 2 อบรมเกษตรกรให้มีความรู้กลายเป็น SME เกษตร เพื่อทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายประมาณ จำนวน 15,000 ราย
4) โครงการประกันภัยข้าว จะทำให้ผู้เอาประกันได้รับความคุ้มครองที่เกิดจากภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง ฝนแล้ง รวมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาด รวมทั้งยังจะเป็นต้นแบบของการประกันพืชผลสำหรับเกษตรกรในระยะยาว ทั้งนี้ หลักการการดำเนินการจะทำให้เกษตรกรซึ่งกู้เงินกับ ธ.ก.ส. ทุกรายมีประกันดังกล่าวควบคู่ไปด้วย โดยส่วนหนึ่ง ธ.ก.ส.จะใช้งบประมาณของ ธ.ก.ส. สนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้เอง และอีกส่วนจะมาจากงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้เกษตรกรมีหลักประกันเพื่อป้องกันในอนาคตหากเกิดปัญหาขึ้น อย่างไรก็ตามในอนาคตจะมีการขยายผลการดำเนินการประกันภัยไปให้ครอบคลุมพืชผลทุกชนิดของประเทศไทย เพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงสำหรับเกษตรกรของประเทศไทยต่อไป โดยยืนยันรัฐบาลดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยครอบคลุมทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ข่าวเด่น