ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับฐานลงแรงหลุดแนว 1,400 จุด ลงมาต่ำสุดของวันที่ 1,394 จุด จากผลการลงประชามติของอังกฤษ ออกมาเป็น Brexit ซึ่งผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ แต่ก็เกิด Technical Rebound บวกกับมีมาตรการต่างๆ เพิ่มเติม ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบ 23.21 จุด มาอยู่ที่ 1,413.19 จุด มูลค่าการซื้อขายมากถึง 88,223 ล้านบาท
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเพียง 784 ล้านบาท ขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทย 1,661 ล้านบาท และ Short สุทธิ SET50 Index Futures มากถึง 8,499 สัญญา
ปัจจัยสำคัญวันนี้
BoE เตรียมออกเงินกองทุนพิเศษ 2.50 แสนล้านปอนด์ เพื่อลดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน
เงินทุนต่างชาติลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยน้อยสุดในกลุ่ม TIP แม้เกิดกรณี Brexit
ติดตามสภาฯ อังกฤษ อาจเสนอให้มีการ Debate กรณี Brexit หลังชาวอังกฤษลงรายชื่อกว่า 2.5 ล้านรายชื่อ
การประชุมรมว.ต่างประเทศของ 6 ประเทศผู้ก่อสร้างอียู เรียกร้องให้อังกฤษเร่งดำเนินการออกจากอียูโดยเร็วที่สุด
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 24)
หลังเกิดเหตุการณ์ Brexit ในวันศุกร์ที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้น DM ญี่ปุ่น / ยุโรป / สหรัฐฯ ปรับตัวลงแรง ราคาน้ำมัน NYMEX ลดลง 5% แต่ยังยืนเหนือ US$47/barrel และเงินทุนเลือกไปพักใน Safe haven อย่างทองคำ และตลาดพันธบัตรในสหรัฐฯ
แต่เงินทุนต่างชาติกลับลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยเพียงเล็กน้อย เพราะ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเพียง 3.0 หมื่นล้านบาทเท่านั้น และผลกระทบจากกรณีนี้ไม่มีนัยยะสำคัญ แต่เรากลับมองว่า Brexit จะทำให้เกิดเงินทุนที่ไหลออกจากอังกฤษ และอียู จะกลับเข้าเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย ที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวจำกัด
อย่างไรก็ตาม เรายังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามพัฒนาการ และขั้นตอนการพิจารณาของสภาฯ อังกฤษ ต่อกรณี Brexit ขณะที่ความผันผวนในตลาดเงิน / ตลาดทุนทั่วโลก คาดว่าจะดำเนินต่อไปในสัปดาห์นี้ เนื่องจากกองทุนจะต้องเร่งปรับน้ำหนักในพอร์ตให้เสร็จ ก่อนที่จะนำเงินสดดังกล่าวมาจัดสรรการลงทุนใหม่อีกครั้ง
ประเด็นเหล่านี้ เราเชื่อว่ากองทุนภายในประเทศที่ขายสุทธิไปมากถึง 7.5 พันล้านบาทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และ YTD ขายสุทธิ 1.56 หมื่นล้านบาท อาจกลับมาสะสมหุ้นหลักอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นหลักในกลุ่ม Domestic Play หลบ Global Play ไประยะหนึ่ง พร้อมประเมินกรอบแกว่ง 1,400-1,425 จุด
Strategy of the Day
1. เก็งกำไร SIRI : ราคาปิด 1.81 บาท ราคาเหมาะสม 1.85 บาท
a) MBKET คาดว่าราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวก หลังการเปิดขายโครงการ The Line อโศก มูลค่าราว 2.8 พันล้านบาทในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถปิดการขายและ Sold Out ได้ทั้งโครงการ สะท้อนให้เห็นถึงแบรนด์ที่แข็งแกร่งของ SIRI
b) เชื่อว่าหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะมี Downside Risk ที่จำกัด จากความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบเชิงลบหลังการทำประชามติของอังกฤษมีมติออกจาก EU
c) ซื้อขายบน Valuation ที่ไม่แพง ระดับ PER2559 ที่ 8.3 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.1%
2. สะสม JASIF : ราคาปิด 10.20 บาท ราคาเหมาะสม 12.00 บาท
a) MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) จะเป็นที่พักเงินได้ดี ในฐานะ Safe Haven หลังการทำประชามติของอังกฤษมีมติออกจากกลุ่ม EU ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลง
b) คาด JASIF จะประกาศเงินปันผล 2Q59 ในช่วงต้นเดือน ก.ค. ราวหุ้นละ 0.22 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.1%
c) และเชื่อว่าเฟดจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม High Dividend Yield มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยคาดการณ์เงินปันผลของ JASIF ปีละ 0.88 บาท คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 8.5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม IFF และ REIT ที่ราว 6% ต่อปี
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 6 วันทำการ US$507 ล้าน
ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยถูกขายจากต่างชาติน้อยสุดในกลุ่ม TIP
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ไทยเพียงเล็กน้อย
นักลงทุนต่างชาติ กลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้งแต่ก็เพียง 784 ล้านบาทเท่านั้น เทียบกับเหตุการณ์ “Brexit” ถือว่าเป็นการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย กดให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิลดลงเป็น 29,333 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 8,499 สัญญา ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะตราสารอนุพันธ์เป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูง รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 13,173 สัญญา คาดว่าเป็นการปิดสถานะ Long ที่เปิดไว้ กดดันให้ S50U16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างถึง 9.73 จุด กดให้ยอดสุทธิ QTD สถานะคงการ Long สุทธิเหลือ 11,452 สัญญา
ส่วนนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง แต่ก็เพียง 1,661 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยดีดตัวขึ้นแรง ผ่านพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงเป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการ มากถึง 6.47bps จากวันก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 1.21bps ปิดที่ 2.106%
Short-Selling วานนี้
เร่งขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ มากถึง 1,945 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 625 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 เน้นหุ้นหลักที่ปรับฐานลงมาแรง
การซื้อขายผ่าน NVDR คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 490 ล้านบาท รวม 2 วันทำการ ซื้อสุทธิ 2,440 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นการเลือกสะสมหุ้นหลักที่ปรับฐานลงมาแรงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย จากกรณี Brexit ขณะที่หุ้นที่ถูกขายสุทธินั้นมี upside gain ที่จำกัดจากราคาเหมาะสมที่ตลาดประเมิน
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด
ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.หดตัว 2.2% mom แย่กว่า Bloomberg consensus คาด -0.7% mom และสวนทางกับเดือนก่อนหน้า +3.3% mom โดยคำสั่งซื้อใหม่ลดลงแรงถึง 2.2% mom
ดัชนี Consumer Sentiment เดือนมิ.ย. เท่ากับ 93.5 จุด ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 94.0 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ 94.3 จุด
ยุโรป
อัพเดทสถานการณ์ หลังผลประชามติของอังกฤษออกมาเป็น Brexit
ผลการลงประชามติของชาวอังกฤษ เป็น Brexit 52% และ Bremain 48%
นายกฯ David Cameron ประกาศลาออกจากตำแหน่งภายในเดือนต.ค.นี้ โดยนายกฯ David จะอยู่ในตำแหน่งไปจนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ จึงจะเริ่มพิจารณากฎหมายมาตรา 50 ของ Lisbon Treaty ซึ่งอังกฤษมีเวลา 2 ปี ในการเจรจาต่อรองรายกฎหมายกับทางอียู
BoE ประกาศเตรียมพร้อมออกเงินกองทุนพิเศษ 2.50 แสนล้านปอร์ด เพื่อลดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน
เยอรมัน เตรียมจัดประชุมระดับรมว.ต่างประเทศ 6 ประเทศ ได้แก่ เยอรมัน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี เบลเยียม และลักเซมเบิร์ก ในวันที่ 25 มิ.ย. เรียกร้องให้อังกฤษดำเนินการขอออกจากอียูโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา
ชาวอังกฤษได้ลงนามกว่า 1.2 ล้านรายชื่อ เพื่อเรียกร้องให้มีการทำประชามติเป็นครั้งที่ 2 ถึงการคงเป็นสมาชิกภาพในกลุ่มอียู เนื่องจากกฎหมายเปิดทางว่า หากผลของการลงประชามติ “Brexit” หรือ “Bremain” ต่ำกว่า 60% และทำให้ผลของ Turnout ออกมาต่ำกว่า 75% จะสามารถเรียกร้อการทำประชามติได้อีกครั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งคำนวณ Turnout ออกมาเป็น 72.2% และ Brexit เท่ากับ 51.9% รายชื่อที่มากกว่า 1.0 แสนเสียง จะเปิดโอกาสให้นักการเมืองในสภา “Debate” ในเรื่องนี้ได้
จีน
ธนาคาร AIIB เริ่มปล่อยสินเชื่อเป็นครั้งแรก: ธนาคาร Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB) ซึ่งมีจีนเป็นผู้นำในธนาคาร ได้ให้สินเชื่อชุดแรกมูลค่ารวม 4 โครงการ US$509 ล้าน เพื่ออินโดนีเซียในการปรับปรุงชุมชนแออัด และการสร้างถนน Highway ในปากีสถาน ทั้งนี้ AIIB ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในปีนี้ US$1.2 พันล้าน
จีนเตรียมลดกำลังการผลิตถ่านหิน 7.5%: หรือ 280 ล้านตัน/ปี ในปีนี้ หรือคิดเป็น 7.5% ของกำลังการผลิตรวม 3.75 พันล้านตัน และจะลดลงมากถึง 500 ล้านตันภายในปี 2563 รวมถึงการรวมกำลังการผลิตเหมืองถ่านหินขนาดเล็กอีก 500 ล้านตัน นอกจากนี้ ทางการจีนเตรียมลดกำลังการผลิตเหล็กอีก 45 ล้านตัน ในปีนี้ด้วยเช่นกัน
เอเชียแปซิฟิก
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสิงคโปร์ขยายตัวใกล้เคียงคาด: เพิ่มขึ้น 0.9% yoy สำหรับเดือน พ.ค. จากเดือนก่อนหน้าที่ +3.0% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาด +1.0% yoy อย่างไรก็ตามเป็นการลดลง 0.4% mom ทั้งนี้การผลิตสำหรับอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้น 14.2% yoy ส่วนปิโตรเคมีลดลง 10.8% yoy
ไทย
ยอดส่งออกไทยหดตัวแรงกว่าคาด: ลดลง 4.40% yoy ในเดือน พ.ค. จากเดือนก่อนหน้าที่ -8.00% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาด -3.20% yoy ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว รวมถึงราคาสินค้าเกษตรและราคาน้ำมัน ปรับตัวลดลง สำหรับการส่งออกในช่วง 5M59 หดตัว 1.90% ขณะที่การนำเข้าในเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้น 0.50% โดยแนวโน้มการนำเข้ามีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีนี้ โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้เกินดุลการค้า 1.54 พันล้านดอลลาร์
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 27 มิ.ย. 2559
ข่าวเด่น