บมจ. เอแอลที เทเลคอม (ALT) ผู้ให้บริการและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มโทรคมนาคมแบบครบวงจร พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 4 ก.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,700 ล้านบาท
ดร. สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. เอแอลที เทเลคอม (ALT) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเทคโนโลยี หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 โดย ALT เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจโทรคมนาคมแบบครบวงจร โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1) ธุรกิจให้บริการสร้างสถานีฐาน ติดตั้ง และซ่อมแซมอุปกรณ์ 2) ธุรกิจจำหน่ายสินค้า และ 3) ธุรกิจให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม
ALT มีทุนชำระแล้ว 500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 750 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 250 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 250 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 24 และ 27-28 มิถุนายน 2559 ในราคาหุ้นละ 4.70 บาท มูลค่าระดมทุน 1,175 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,700 ล้านบาท โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. เอแอลที เทเลคอม (ALT) เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนโดยบริษัทจะนำเงินไปลงทุนในโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้เช่าบนแนวเสาโทรเลขตามทางรถไฟ ซึ่งจะเชื่อมต่อกับโครงข่ายของกลุ่มบริษัทพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ รองรับการลงทุนอย่างต่อเนื่องของกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็น operator ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเพิ่มสัดส่วนผลประกอบการจากธุรกิจให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีลักษณะเป็นรายได้ประจำ (recurring income) เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ALT 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มนางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ ถือหุ้น 74.40% Templetion Investment Management (Singapore) PTE LTD ถือหุ้น 0.70% และนายตะวัน สุนทรญาณกิจ ถือหุ้น 0.60% การกำหนดราคา IPO ทำโดยวิธี Book Building คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 23.50 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ 1 เมษายน 2558-31 มีนาคม 2559) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.20 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักทุนสำรองทั้งหมด
ข่าวเด่น