สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เปิดเผยว่า หนี้ประเทศกำลังพัฒนาพุ่งเกือบ 3 เท่าในช่วง 10 ปี ซึ่งหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการกู้ยืมในภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคที่อัตราดอกเบี้ยต่ำจากการกระตุ้นเศรษฐกิจโลก
โดยหนี้สินต่างประเทศพุ่งขึ้นเป็น 8.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว(ปี 2015) จาก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2548(2005) ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินของภาคเอกชน ขณะที่สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศพุ่งเป็น 54% เมื่อปีที่แล้ว จาก 40% เมื่อปี 2551(ปี 2008) สัดส่วนเฉลี่ยของหนี้ต่างประเทศกับทุนสำรองเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 350% ต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ เมื่อปีที่แล้ว จาก 250% เมื่อปี 2550(2007) แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของตลาดเกิดใหม่ในการรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในต่างประเทศ
มูดี้ส์ระบุว่า หนี้ภาคเอกชนขยายตัวเฉลี่ยปีละ 14.3% นับตั้งแต่ปี 2005 เมื่อเทียบกับหนี้ภาครัฐที่ขยายตัวเฉลี่ย 5.9%
นอกจากนี้ มูดี้ส์ ยังได้คาดว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังคงซบเซาต่อไปในระยะกลาง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะอยู่ที่ระดับต่ำต่อไปเป็นเวลาหลายปีจากนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบต่อรายได้จากเงินตราต่างประเทศ และการสำรองของกลุ่มผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งนี้ จากรายงาน "The Evolution of Emerging Markets External Debt: Private Sector Debt Drives Broad-Based Build-Up of Emerging Markets External Vulnerability Risks" วิเคราะห์การขยายตัวของหนี้สินในระบบเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่และตลาดชั้นนำ จำนวน 83 ประเทศ โดยแบ่งเป็น 4 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชีย แปซิฟิค, ละตินอเมริกาและแคริบเบียน ตะวันออกกลางและแอฟริกา และยุโรปเกิดใหม่ พบว่า ตลาดเกิดใหม่ในยุโรปยังเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุด โดยประเทศที่มีหนี้สินต่างประเทศที่ขยายตัวสูงมากที่สุดได้แก่ ตุรกี อัตราหนี้ต่างประเทศต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 55% ในปี 2548 จากระดับ 41% ในปี 2548 และคิดเป็นสัดส่วน 19% ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมดในภูมิภาค รองลงมาได้แก่ รัสเซีย
.jpg)
ข่าวเด่น