บล.เอเชีย เวลท์ คาด Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้ ด้านญี่ปุ่นเล็งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 20 ล้านล้านเยน ส่วนไทยคาดเศรษฐกิจไตรมาส 3 โตกว่า 3% แต่ยังต้องติดตามประเด็นการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมแนะนำซื้อ PTTGC ราคาเป้าหมาย 69.60 บาท
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด คาดว่า สัปดาห์นี้ SET Index จะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น และอาจมีการสลับกับการขายทำกำไร โดยภาพรวมความกังวลเรื่อง Brexit เริ่มผ่อนคลายลง หลังจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และการคลังของประเทศในกลุ่ม G20 ที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน ได้มีความเห็นร่วมกันที่แต่ละประเทศจะเตรียมมาตรการรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจาก Brexit ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงอีก ซึ่งตลาดรับข่าวนี้อย่างเป็นบวก
อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาแข็งแกร่ง แม้ในการประชุม FOMC ในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ย แต่ตลาดเริ่มมีแนวคิดเพิ่มมากขึ้นว่า ปลายปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น
ด้านการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สัปดาห์นี้ น่าจะมีการออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มขึ้นอีก และรวมทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังมูลค่ากว่า 20 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านภายในประเทศ รัฐบาลยังคงดำเนินการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกของประเทศ ทั้งนี้ เดือนหน้าต้องติดตามการที่สภาพัฒน์ฯ จะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวดีพอสมควร โดยกระทรวงการคลังคาดว่า จะขยายตัวเกิน 3% ในไตรมาส 2 และรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาผลิตผลทางการเกษตรดีขึ้น ทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนดีขึ้นตั้งแต่เดือน พฤษภาคม เป็นต้นมา และการผ่อนคลายลงของภาวะภัยแล้งก็เป็นผลบวกต่อภาวะการใช้จ่ายเช่นกัน
ปัจจัยที่ต้องจับตา คือ การลงประชามติการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 สิงหาคม นี้ และปัจจัยด้านการเมืองที่สืบเนื่องจากการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญต่อเนื่องไปอีก ก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้งในปีหน้า ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังพอสมควรในการลงทุน
สำหรับกรอบดัชนี SET Index ในสัปดาห์นี้ คาดว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,498-1,518 จุด
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ เลือก PTTGC ของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หลังจากที่เราเห็นภาวะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในภูมิภาคที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากส่วนต่าง (Spread) ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ PTTGC เทียบต้นทุนแนฟทาที่ยังสามารถยืนตัวในระดับสูงกว่า 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตันได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ทยอยฟื้นตัวสูงขึ้นจากการที่อุปสงค์และอุปทานเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้นจะเป็นผลบวกต่อผู้ผลิตปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มกำไรสุทธิคาดจะเห็นการเติบโต 23% YoY ในปีนี้ หนุนจากภาวะขาขึ้นของโอเลฟินส์ ซึ่งจะสามารถชดเชยกับผลกระทบเชิงลบจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลาย ๆ หน่วยในช่วงครึ่งปีแรกได้ ก่อนที่กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องอีก 20% YoY ในปี 2560
ด้านราคาหุ้นปัจจุบันยังน่าสนใจ ด้วย Valuation ค่อนข้างถูก โดยมี P/E ratio ที่ 11 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ประมาณ 5.0% ต่อปี
ด้าน Technical รูปแบบราคาของ PTTGC มีความแข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้นต่อไปจากการเกิดทั้งสัญญาณซื้อในรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งบอกเป็นนัยว่าจากนี้ไปน่าจะเห็นความแข็งแกร่งรอบใหม่ของ PTTGC เดือน โดย บล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมายที่ 69.60 บาท มี Upside ประมาณ 11%
ข่าวเด่น