“ไออีซี” บุกตลาดเตรียมออกตั๋ว B/E มีมูลค่าคงค้างไม่เกิน 200 ล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับใช้ในการลงทุน หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป ผู้บริหารพร้อมแจงกรณีบริษัทย่อย “ไออีซี สระแก้ว 1” SK1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด พร้อมเตรียมทนายยื่นฟ้องผู้ถือหุ้นเดิม
นายภูษณ ปรีย์มาโนช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/2559 วันที่ 20 ก.ค. 59 ได้พิจารณาอนุมัติการออก และเสนอขายตราสารหนี้ระยะสั้นประเภทตั๋วแลกเงินระยะสั้น (Bill of Exchange : B/E) โดยมีมูลค่าคงค้างไม่เกิน 200 ล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน นับจากวันที่ออกตั๋วแลกเงินระยะสั้นในสกุลเงินบาท
โดยราคาเสนอขายและอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในขณะที่ออกและเสนอขายแต่ละครั้ง ซึ่งจะทำการเสนอขายตั๋วแลกเงินระยะสั้นให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง (Private Placement : PP) หรือผู้ลงทุนสถาบัน หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ในคราวเดียวกันหรือหลายคราว ทั้งนี้บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับใช้ในการลงทุน หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป
และจากกรณีที่ บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด (“SK1”) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อย 100 % ของบริษัทฯ ว่าบริษัทย่อย ได้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายโดยมี บริษัท เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (“KS”) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ กับ บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด ลูกหนี้โดยศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป
แต่เนื่องจาก SK1 ภายใต้การบริหารงานของบริษัทฯ นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ เข้าไปซื้อหุ้นและรับโอนหุ้นมาจากกลุ่มของนายสุทิน ใจธรรม (ซึ่งประกอบด้วยนายสุทิน ใจธรรม และ นางสาวจารุวรรณ ภูษณะภิบาลคุปต์) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 75 % เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2557 จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ SK1 และ บริษัทฯ ไม่เคยทราบและไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า บริษัท แก้วลำดวน เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ( ชื่อเดิมของ SK1 ) ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมดังกล่าวได้ถูก KS ฟ้องร้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557
และศาลได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ตามที่กล่าวข้างต้นเนื่องจาก นายสุทินฯ กับพวก ได้ปกปิดข้อมูลทางบัญชีโดยมิได้บันทึกบัญชีรายการเจ้าหนี้บริษัท เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ไว้ในงบการเงินของ SK1 ณ ขณะที่บริษัทฯ ได้เข้าตรวจสอบข้อมูลสถานะของ SK1
ก่อนที่จะทำการซื้อขายหุ้น 75 % ดังกล่าว และต่อมายังปกปิดข้อมูลการถูกดำเนินคดีนี้ต่อ SK1 มาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 นายสุทินฯ กับนางสาวจารุวรรณฯ ซึ่งต่างก็มีชื่อเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการของ SK1 แต่บุคคลทั้งสองคนนี้ไม่มีอำนาจที่จะลงลายมือชื่อร่วมกันเพื่อให้มีผลผูกพัน SK1 ได้ตามกฎหมาย ได้ทำใบมอบอำนาจปลอมในนามบริษัท แก้วลำดวน เพาเวอร์ซัพพลายจำกัดซึ่ง ณ ขณะนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัดแล้วโดยไม่สุจริตและได้ใช้เอกสารอันเป็นเท็จและใช้ตราประทับในชื่อของบริษัท แก้วลำดวน เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่งเป็นตราประทับในชื่อเดิมของ SK1 ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว อันถือว่าเป็นตราประทับที่เป็นเท็จ ไปใช้กล่าวอ้างต่อศาลล้มละลายกลางและจงใจปกปิดเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อการปกปิดความจริงในการเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดีทางศาลจนเป็นเหตุให้ SK1 ได้รับความเสียหายจากการที่ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวข้างต้น
จนเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2559 ทนายโจทก์ได้แจ้งมายัง SK1 ว่า SK1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ซึ่งในเบื้องต้นฝ่ายจัดการของ SK1 ได้พยายามแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อน จึงได้สอบถามไปยังนายสุทินฯ ว่าเป็นจริง แต่นายสุทินฯได้ปกปิดเรื่องเอาไว้ ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงได้ติดต่อสอบถามไปยังทนายโจทก์อีกครั้งหนึ่ง และยังได้รับทราบข้อมูลจากทนายโจทก์เพิ่มเติมอีกว่า ภายหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด SK1ณ ปัจจุบัน KS ก็ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดคืนมาจากนายสุทินฯ และ นางสาวจารุวรรณฯครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ SK1 ไม่มีหนี้ต่อ KS แล้ว
ด้วยเหตุดังกล่าว SK1 จึงได้มอบหมายให้ทนายความเข้าทำการตรวจสอบสำนวนคดีต่อศาลล้มละลายกลาง โดยฉับพลัน โดยปรากฎว่าเป็นไปตามที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว ว่าสำหรับข้อมูลในคดีนี้สืบเนื่องจาก SK1 ติดค้างชำระหนี้ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นวงเงินประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ตั้งแต่ในช่วงก่อนที่นายสุทินฯ กับพวกจะนำหุ้นมาขายแก่บริษัทฯ จนถูกเจ้าหนี้รายดังกล่าวยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่งและศาลแพ่งได้พิพากษาให้ชดใช้ แล้วก็ยังเพิกเฉย เจ้าหนี้รายนี้จึงนำคดีนี้มาฟ้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ดังนั้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 SK1 จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าว เนื่องจาก SK1 ยังประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเป็นประจำอยู่ตามปกติ และมีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องทางการเงินที่ดี โดยมีมูลค่าของทรัพย์สินที่สูงกว่ามูลค่าของหนี้สินอยู่อย่างมาก SK1 จึงไม่สมควรที่จะถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแต่อย่างใด และเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 เช่นกันว่า เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่คัดค้านคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ SK1 เนื่องจากเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ SK1 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เวลา 9.00 น.
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการของ SK1 ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องดังกล่าวจึงได้เตรียมการที่จะร้องขอไต่สวนฉุกเฉินต่อศาล เพื่อขอให้ศาลพิจารณานัดไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีโดยเร็วยิ่งขึ้นก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ตามที่ศาลได้นัดไว้เดิม ทั้งนี้ฝ่ายจัดการของ SK1 ได้พิจารณาแล้วกรณีนี้ถ้าศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาโดยเป็นธรรม และประกอบกับ SK1 ก็ไม่มีภาระหนี้สินใด ๆ ค้างอยู่กับ KS อีกต่อไปแล้วและปัจจุบัน SK1 ก็ยังดำเนินกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าตามปกติ และก็มีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงมีความเชื่อมั่นว่าศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ไต่สวนฉุกเฉินให้แก่ SK1และจะมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดต่อ SK1 ต่อไปในช่วงเวลาไม่ช้านี้
ทั้งนี้การกระทำของนายสุทินฯ และนางสาวจารุวรรณฯกับพวกเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ SK1 และบริษัทฯ และนอกจากนี้ยังถือว่านายสุทินฯ และนางสาวจารุวรรณฯ กับพวกกระทำผิดสัญญาซื้อขายหุ้นที่ทำไว้กับบริษัทฯ อีกด้วย บริษัทฯ จึงได้มอบหมายให้ทนายความจัดเตรียมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กับ นายสุทินฯและนางสาวจารุวรรณฯกับพวกต่อไปจนถึงที่สุด และบริษัทฯ มั่นใจว่า จะมีโอกาสได้รับเมตตาธรรมจากศาลล้มละลายกลางในการพิจารณาเพิกถอนคำสั่งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวได้โดยเร็วที่สุด
ข่าวเด่น