บมจ. บิสซิเนสอะไลเม้นท์ (BIZ) ผู้นำเข้าและติดตั้งชุดเครื่องฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 28 ก.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,160 ล้านบาท
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. บิสซิเนสอะไลเม้นท์ (BIZ) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ โดย BIZ ดำเนินธุรกิจนำเข้า จัดจำหน่ายและติดตั้ง ชุดเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยวิธีรังสีรักษา พร้อมบริการดูแลบำรุงรักษาชุดเครื่องมือดังกล่าว มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศ อาทิ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
BIZ มีทุนชำระแล้ว 200 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2559 ในราคาหุ้นละ 2.90 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 290 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,160 ล้านบาท มีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายสมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิสซิเนสอะไลเม้นท์ (BIZ) เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากว่า 15 ปี โดยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Varian Medical Systems Inc. รายเดียวในประเทศไทย ซึ่ง Varian เป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์และระบบซอฟต์แวร์สำหรับการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีรังสีรักษา นอกจากนี้ บริษัทยังมีคู่ค้าที่สำคัญในต่างประเทศอีกจำนวนหลายราย การนำบริษัทเข้าระดมทุนจะช่วยสร้างสภาพคล่องทางด้านการเงินที่ดี รองรับการรับงานใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากเครื่องฉายรังสีมีจำนวนไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น
BIZ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ นายสมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ ถือหุ้น 32.06% กลุ่มครอบครัวสีลภูสิทธิ์ ถือหุ้น 32.06% และนายนพดล สันธนะพาณิช ถือหุ้น 6.00% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 49.8 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 12 เดือน (1 เมษายน 2558-31 มีนาคม 2559) ซึ่งเท่ากับ 23.28 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0582 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมายตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและกฎหมาย
ข่าวเด่น