วันนี้ (28 ก.ค. 2559) เวลา 13.30 น. นายอะฮ์มัด รุซดี (H.E. Mr. Ahmad Rusdi) เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้
เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียแสดงความยินดีที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียได้นำความปรารถนาดีและคำอวยพรจากประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมถึงนายกรัฐมนตรีและประชาชนชาวไทย พร้อมกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย โดยก่อนเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายท่าน รวมถึงได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานโครงการหลวงและโครงการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียแสดงความชื่นชมว่ามีประโยชน์อย่างมากและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับอินโดนีเซียได้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีแก่เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย พร้อมเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ทางการทูตอันยาวนานของเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียจะเป็นประโยชน์และช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอินโดนีเซียให้ก้าวหน้าเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสอง ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงสถานการณ์ของประเทศไทย โดยระบุว่า ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตย การปราบปรามการทุจริต และรัฐบาลยังคงดำเนินการตาม roadmap ในเรื่องการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้ประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน
ด้านความสัมพันธ์ทวิภาคี เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียแสดงความยินดีที่ไทยและอินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและใกล้ชิด ทั้งสองประเทศได้เฉลิมฉลองการครบรอบ 65 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อปี 2558 และหวังว่าทั้งสองประเทศจะการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ด้านการค้าการลงทุน เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียยินดีกับความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในสาขาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ อุตสาหกรรมการเกษตร การท่องเที่ยว และพลังงาน ด้านนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ภาคเอกชนไทยมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และยินดีที่รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ปัจจุบันมีภาคเอกชนไทยลงทุนในอินโดนีเซียจำนวนมาก จึงขอให้รัฐบาลอินโดนีเซียสนับสนุนและดูแลภาคเอกชนไทยในอินโดนีเซีย
ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียต่างเห็นพ้องกันว่า ทั้งสองประเทศควรร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ในระหว่างการเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ไทยและอินโดนีเซียได้ลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างกันจำนวน 5 แสนตัน
ความร่วมมือด้านประมง นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมบทบาทของอินโดนีเซียในการส่งเสริมความร่วมมือด้านประมงรอบด้านและยั่งยืนในภูมิภาค รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับอินโดนีเซียเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประมง โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผลักดันการแก้ไขปัญหาประมงจนมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม ทั้งการปรับปรุงกรอบกฎหมายประมง การจัดทำแผนบริหารจัดการการประมง และบังคับใช้กฎหมายและลงโทษผู้กระทำผิด ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังว่า เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียจะได้ติดตามผลการพิจารณาการจัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงไทย – อินโดนีเซีย (Joint Working Group on Fisheries Cooperation between Thailand and Indonesia) เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านประมงระหว่างไทยกับอินโดนีเซียให้มีผลเป็นรูปธรรม
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีฝากความปรารถนาดีไปยังประธานาธิบดีโจโค วิโดโด และประชาชนชาวอินโดนีเซีย พร้อมรู้สึกเป็นเกียรติที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้ตอบรับคำเชิญในการเยือนไทยอย่างเป็นทางการในปีนี้ จึงขอความร่วมมือเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประสานงานกับฝ่ายอินโดนีเซียเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีจะสะดวกเยือนไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ย้ำคำเชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซียในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD Summit) ครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559 อีกด้วย
ข่าวเด่น