นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างไม่เป็นทางการ ว่า ผลการรายงานอย่างไม่เป็นทางการคาดว่าการทำประชามติครั้งนี้ มีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ประมาณ 58 % ของผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด ซึ่งผู้มาใช้สิทธิครั้งนี้มีจำนวนน้อยกว่าการทำประชามติ 2550 และน้อยกว่าจำนวนที่กกต.ตั้งเป้าไว้ สาเหตุเกิดจากกรณีที่ความตื่นตัวของประชาชนในการทำประชามติไม่เหมือนกับการเลือกตั้งที่มีการแข่งขัน มีหัวคะแนน มีนักการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน และการใช้สิทธินอกเขตจังหวัดที่ต้องให้มีการลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด อาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนที่ไม่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาไม่สามารถใช้สิทธิได้ เนื่องจาก กกต.มีการล้างบัญชีทะเบียนนอกเขตจังหวัด และจะเป็นแนวทางที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมเนื่องจากมีผู้เพิ่มถอนชื่อออกจากบัญชีรายชื่อ จำนวน 224,453 คน ดังนั้น การทำประชามติครั้งนี้จึงมียอดผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50,261,529 คน
สำหรับผลอย่างไม่เป็นทางการโดยอ้างอิงจากระบบรายงานผลการออกเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการของ กกต. ระบุว่า ที่ร้อยละ 94 ทั่วประเทศ มีผู้ออกมาใช้สิทธิทั้งประเทศ 27,623,126 คน ประเด็นแรก ร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับคะแนนเห็นชอบ 15,562,027 เสียง คิดเป็น 61.40 % ไม่เห็นชอบ 9,784,680 เสียง คิดเป็น 38.60 % ส่วนประเด็นที่สอง คำถามพ่วง ให้ 250 ส.ว.ที่คสช.แต่งตั้งร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีกับ 500 ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง ได้รับคะแนนเห็นชอบ 13,969,594 เสียง คิดเป็น 58.11% ไม่เห็นชอบ 10,070,599 เสียง คิดเป็น 41.80 % รวมบัตรดี 26,688,729 บัตรเสีย 869,043
ทั้งนี้ นายสมชัย ยืนยันว่า การประชุมเพื่อประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นยังกำหนดให้มีการประชุมในวันพุธที่ 10 สิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งยุติการรายงานผลคะแนนอยู่ 94 % เนื่องจากตามพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ ห้ามรายงานผลคะแนนเกิน 95% ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดกฎหมาย
.jpg)
ข่าวเด่น