ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้เปิดย่อตัวลงสู่แนว 1,535-1,540 จุด กดดันด้วยกลุ่มขนส่ง/ ค้าปลีก ที่ขึ้นมาเด่นก่อนหน้า ก่อนที่จะเกิด Technical rebound ในหุ้นหลัก และกลุ่มพลังงานที่ได้รับประเด็นบวกจากราคาน้ำมันดิบ ปิดตลาด SET INDEX ลบเพียง 3.53 จุด มาอยู่ที่ 1,549.11 จุด มูลค่าการซื้อขายมากถึง 75,048 ล้านบาท
ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 7 อีก 2,631 ล้านบาท แม้คงการ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 6 อีก 319 สัญญา และกลับมาขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1,352 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- สิ้นสุดการรายงานงบ 2Q59 ในรอบเช้าวันนี้ ภาพรวมงบออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ และกลุ่มธุรกิจเกษตรฯ ที่ออกมาฟื้นตัวเด่นกว่าในภาพรวม
- GDP ใน 2Q59 ของไทยออกมาดีกว่าคาด ผลักดันด้วยการบริโภคภายในประเทศ
- ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 และกลับมายืนเหนือ US$45/barrel
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง
เรากลับมาให้มุมมองการลงทุนเป็น “กลาง” อีกครั้ง หลังจากที่ SET INDEX สามารถฟื้นตัวและกลับมายืนเหนือ 1,540 จุด พร้อมกับเม็ดเงินทุนต่างชาติที่ยังคงเลือกสะสมหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจไทยที่ส่งสัญญาณเชิงบวก เมื่อ GDP ใน 2Q59 เติบโต 3.5% yoy และช่วง 2H59 เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศก็ตาม
นอกจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ส่งสัญญาณเชิงบวกแล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยในงวด 2Q59 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค การลงทุนภายในประเทศจะออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ นำมาซึ่งการปรับประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้และปีหน้า เราเชื่อว่า 2 ปัจจัยนี้ทำให้เม็ดเงินทุนต่างชาติยังคงเลือกสะสมหุ้นไทยต่อเนื่อง
เพียงแต่ Upside ของตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นก็เป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน เพราะนักลงทุนทั่วโลกต่างรอดูรายงานการประชุมเฟดเดือนก.ค. ที่จะเปิดเผยในคืนวันพุธนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้
กลยุทธ์วันนี้ “นักลงทุนเลือกทยอยสะสมหุ้นที่ Laggard จากกลุ่ม ภายใต้แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H59 เติบโตแข็งแกร่ง” ประเมินกรอบแกว่ง 1,540-1,560 จุด
Strategy of the Day
1. สะสม TMB : ราคาปิด 2.28 บาท ราคาเหมาะสม 2.50 บาท
a) MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร และเชื่อว่า GDP 2Q59 ที่เติบโต +3.5% yoy ออกมาดีกว่าคาด จะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับภาคเอกชนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 2H59 และเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารโดยตรงจากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น
b) ราคาหุ้นยัง Laggard โดย YTD ปรับตัวลง -5.8% เทียบกับ SET BANK +23.9% และ SET +20.3%
c) Valuation ถูก ซื้อขายที่ PER2560 ต่ำเพียง 9.4 เท่า และ PBV2560 1.1 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย –1SD ของ PER เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี จึงเชื่อว่ามี Downside Risk ของราคาหุ้นจำกัด
2. เก็งกำไร LOXLEY : ราคาปิด 2.82 บาท ราคาเหมาะสม 3.40 บาท
a) LOXLEY รายงานกำไรสุทธิ 2Q59 ที่ 64 ล้านบาท พลิกกลับจากขาดทุนสุทธิ 4 ล้านบาท ใน 2Q58 และกำไร 1H59 เท่ากับ 186 ล้านบาท เทียบกับปี 2558 ทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท จึงเชื่อว่าราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวกจากผลประกอบการที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น
b) คาดรายได้ 2H59 จะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 1H59 จากแรงหนุนของ Backlog สิ้น 2Q59 ที่ 9.8 พันล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ยังเป็นบวกต่อเนื่อง ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรสุทธิปี 2559 จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท หรือเติบโต +43% yoy
c) มี Catalyst รออยู่ คืองานประมูลรถเมล์ไฟฟ้ามูลค่า 4 พันล้านบาท ใน 4Q59 และ Valuation น่าสนใจ ซื้อขายใกล้เคียงมูลค่าทางบัญชีที่ 2.76 บาทจึงมี Downside Risk ที่จำกัด
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิอีก US$270 ล้าน ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$271 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติเลือกสะสมหุ้นรายตัวหนาแน่นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5
นักลงทุนต่างชาติ คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 7 อีก 2,631 ล้านบาท แม้ว่าประเทศไทยจะมีเหตุการณ์วางระเบิดหลายแห่งใน 7 จังหวัดช่วงวันที่ 11-12 ส.ค.ที่ผ่านมาก็ตาม ส่งผลให้ตลอด 7 วันทำการ ซื้อสุทธิ 24,854 ล้านบาท และทำให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นทะลุ 1.0 แสนล้านบาท เป็น 105,410 ล้านบาท
แต่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 6 อีกเล็กน้อย 319 สัญญา รวม 6 วันทำการ Short สุทธิไปแล้วทั้งสิ้น 15,624 สัญญา เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 8,879 สัญญา คาดว่านักลงทุนกลุ่มนี้ปิดสถานะ Long และกลับมามีสถานะ Short ต่อเนื่อง ส่งผลให้ S50U16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเล็กน้อยเป็น 6.56 จุด จากวันก่อนหน้าปิด Discount เท่ากับ 5.21 จุด และทำให้ยอด QTD นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 10,341 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1,352 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 6,104 ล้านบาท โดยราคาพันธบัตรไทยปรับตัวลงเล็กน้อยเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ผ่านพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 0.37bps จากวันก่อนหน้าลดลง 0.31bps ปิดที่ 2.085%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเป็น 851 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 953 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 27 ยังคงเน้นกลุ่มธนาคารเป็นหลัก
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 2,744 ล้านบาท เร่งขึ้นจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,086 ล้านบาท รวม 27 วันทำการ ซื้อสุทธิทะลุ 70,000 ล้านบาท เป็น 71,119 ล้านบาท โดยคงการเน้นสะสมกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง ซื้อสุทธิอีก 1,232 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 674 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาเป็นกลาง
ดัชนี Empire State ภาคการผลิต เดือนส.ค. เท่ากับ -4.21 จุด สวนทางกับ Bloomberg consensus คาด 2.50 จุด และแย่กว่าเดือนก่อนหน้าที่ 0.55 จุด โดยคำสั่งซื้อใหม่ทรงตัว 1.04 จุด แม้ว่าจะฟื้นจากเดือนก่อนหน้า -1.82 จุด
ดัชนีตลาดบ้าน เดือนส.คง เท่ากับ 60.0 จุด เท่ากับ Bloomberg consensus คาด 60.0 จุด และดีกว่าเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 59.0 จุด
ยุโรป
เยอรมันเตรียมขยายอายุเกษียณเป็น 69 ปี: ภายในปี 2563 เพื่อลดแรงกดดันต่อระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญ จากโครงสร้างประชากรที่เป็นผู้สูงอายุมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การขยายกรอบอายุการทำงาน จะส่งผลกระทบต่อระดับการจ่ายบำเหน็จบำนาญที่ลดลงตั้งแต่ปี 2593
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
ยอดขายบ้านทำระดับสูงสุดในรอบปีนี้: ยอดขายบ้านเดือนก.ค. เท่ากับ 1,091 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่มียอดขาย 536 ยูนิต และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2558 ที่มียอดขาย 1,655 ยูนิต เนื่องจากราคาบ้านที่ลดลงเฉลี่ย 0.4% ในช่วง 3 เดือน สิ้นสุดเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตต่ำกว่าคาดใน 2Q59: เติบโตเพียง 0.2% yoy ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 0.7% yoy โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนลดลง 0.4% yoy การบริโภคภายในประเทศ เพิ่มขึ้น 0.2% yoy แต่การส่งออกสุทธิหดตัว 0.3% yoy กลายเป็นแรงกดดันต่อ BoJ ในการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมเดือนก.ย.
ยอดค้าปลีกสิงคโปร์ต่ำกว่าคาด: ขยายตัวเพียง 0.9% yoy ในเดือน มิ.ย. จากเดือนก่อนหน้าที่ +3.2% yoy และแย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดขยายตัว 2.0% yoy อีกทั้งยังเป็นการหดตัว 1.5% mom สวนทางคาดที่ +0.7% mom ทั้งนี้ยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์หดตัว 3.0% yoy
ไทย
GDP ใน 2Q59 ออกมาดีกว่าคาดที่ 3.5% yoy: สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/59 ขยายตัว 3.5% เร่งขึ้นจากที่ขยายตัว 3.2% ในไตรมาสแรก และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วจะขยายตัวจากไตรมาสแรกราว 0.8% โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัว 3.8% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2.3% ในไตรมาสก่อนหน้า
สภาพัฒน์ฯ คงเป้า GDP ปีนี้ โต 3.0-3.5%: สภาพัฒน์ยังคงคาดการณ์ GDP ของปี 59 เติบโต 3.0-3.5% หรือค่ากลาง 3.3% แต่มีความเป็นไปได้มากที่จะมีโอกาสขยายตัวได้ในกรอบบนที่ 3.3-3.5% เนื่องจากการประเมินผลกระทบเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังพบว่าอยู่ในวงที่จำกัด จากที่ก่อนหน้านี้เคยกังวลว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีความผันผวนที่เกิดจากเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากกรณีที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งปัจจุบันยังมีผลกระทบไม่มากนักต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ดังนั้นเชื่อว่าผลกระทบจากกรณี Brexit จึงยังไม่น่าจะได้เห็นในช่วงเร็วๆ นี้ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะเติบโตได้ราว 3.5% ซึ่งถือว่าดีขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 3.4%
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 16 ส.ค. 2559
ข่าวเด่น