ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง


 


ตลาดหุ้นไทยวานนี้
         
SET INDEX วานนี้ปรับฐานลงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า โดยกลุ่มธนาคาร / ขนส่ง ที่ขึ้นมาเด่นก่อนหน้า ต่างเผชิญกับแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวกลับสวนภาพรวม ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,531.63 จุด ลบ 5.89 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 60,262 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติยังคงพักเงินที่ตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีก 9,252 ล้านบาท กลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,310 ล้านบาท แต่คงการ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 8 อีก 6,017 สัญญา

ปัจจัยสำคัญวันนี้
          รายงานการประชุมเฟดเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เสียงแตกในกลุ่มประธานเฟด 
          กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นกลางต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
          การส่งออกเดือนก.ค.ของญี่ปุ่นหดตัวลง 14% yoy มากกว่าคาด และทำให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าทะลุ Yen100/US$ เช้านี้ กดดันจิตวิทยาการลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น
          Singtel ประกาศซื้อหุ้น INTUCH ต่อจาก Temasek ที่ราคา 60.83 บาท/หุ้น คาดว่ารายการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้

มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 3)
         
เราประเมิน SET INDEX มีโอกาสฟื้นตัวในกรอบที่แคบๆ หลังจากปรับฐานลงมาตลอด 2 วันทำการก่อนหน้า หลังรายงานการประชุมเฟดเดือนก.ค.ที่ผ่านมา โอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดือนก.ย. เป็นไปได้อย่างจำกัด มุมมองของประธานเฟดแต่ละสาขามีความแตกต่างกัน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะถึงวันที่ 26 ส.ค. ประธานเฟดจะให้ความเห็นด้านเศรษฐกิจและนโยบายการเงินในงานสัมมนาประจำปีด้านนโยบายการเงินที่ Jackson Hole
         
ขณะที่กระแสเงินทุนต่างชาติเปลี่ยนมาเป็นการทยอยสะสม มากกว่าจะไล่ราคาขึ้นไปเหมือนเช่นในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า เป็นปัจจัยที่จำกัด upside gain ในรอบสั้นนี้ ระดับ High ก่อนหน้าที่ 1,550-1,555 จุด ยังไม่น่าผ่านในรอบนี้ หากเกิด technical rebound เว้นเสียจากว่าราคาน้ำมันดิบ NYMEX จะขยับขึ้นไปทดสอบด่าน US$50/barrel ได้อีกครั้ง อาจทำให้กลุ่มพลังงาน /โรงกลั่น / ปิโตรเคมี ตอบรับเชิงบวกและผลักดัน SET INDEX ได้แรง
         
ภายใต้การลงทุนที่ขาดปัจจัยแวดล้อมใหม่ที่เข้ากำหนดทิศทางการลงทุน หลังสิ้นสุดการประกาศงบ 2Q59 เราจึงประเมินว่า SET INDEX ในช่วงนี้จะแกว่งในกรอบระหว่าง 1,520-1,550 จุด หุ้นหลักอาจเห็นการเกิด Technical rebound ได้บ้าง แต่ก็เป็นไปอย่างจำกัด เพราะราคาหุ้นขึ้นมาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานไปค่อนข้างมากแล้ว 
         
กลยุทธ์วันนี้ “นักลงทุนเลือกทยอยสะสมหุ้นที่ Laggard จากกลุ่ม ภายใต้แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H59 เติบโตแข็งแกร่ง” ประเมินกรอบแกว่ง 1,520-1,540 จุด

Strategy of the Day          
          1. สะสม SCB : ราคาปิด 157.50 บาท ราคาเหมาะสม 169.00 บาท
          a) MBKET แนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่จะเริ่มประกาศเงินปันผล 1H59 ตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์หน้า โดยคาดว่า SCB จะจ่ายเงินปันผล 1H59 หุ้นละ 1.50 บาท 
          b) คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะฟื้นตัวในวันนี้ จากกระแสเงินทุนที่ยังไหลเข้าตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่ เนื่องจากรายงานการประชุมเฟด เดือน ก.ค. สะท้อนให้เห็นว่าคณะกรรมการเฟดยังมีความเห็นไม่ตรงกัน และเชื่อว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. 
          c) ทิศทางกำไรสุทธิ 2H59 จะขยายตัวจาก 1H59 จากการตั้งสำรองที่ลดลง เนื่องจากสิ้น 2Q59 มี Coverage Ratio ที่ 130% และมีโอกาสบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนใน SCB LIFE และเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ          
          2. เก็งกำไร BLAND : ราคาปิด 1.74 บาท ราคาเหมาะสม 2.00-2.50 บาท
          a) MBKET คาด BLAND จะ Outperform ตลาด หลังบริษัทประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 2,278 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 911 ล้านหุ้น หรือเทียบเท่าราคาเพดานซื้อคืนหุ้นละ 2.50 บาท และกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ 30 ส.ค. 2559 – 28 ก.พ.2560 
          b) Valuation ถูก เนื่องจากยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 2.40 บาท และเรามีมุมมองเชิงบวกต่อโครงการซื้อหุ้นคืน เนื่องจากจะส่งผลให้ตัวเลขทางการเงินดีขึ้น เช่น ROE, EPS และช่วยดูดซับ Free Float ของบริษัทที่สูงถึง 69.5% 
          c) ราคาปิดวานนี้ยังต่ำกว่าราคาเพดานซื้อหุ้นคืนถึง 44% จึงเชื่อว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อราคาหุ้นจนถึงช่วงที่บริษัทเริ่มซื้อหุ้นคืน ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.เป็นต้นไป ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์จึงประเมินว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นสู่บริเวณ 2.00-2.50 บาท 

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
กระแสเงินทุนต่างชาติชะลอตัวต่อเนื่อง
แม้กลับมาซื้อสุทธิ US$163 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$17 ล้าน        

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงพักเงินในตลาดตราสารหนี้เป็นหลัก
          นักลงทุนต่างชาติ กลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลัง SET INDEX ย่อตัวลงมาตลอด 2 วันทำการ โดยซื้อสุทธิ 1,310 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 2H59 ส่งผลให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิขยับขึ้นเป็น 105,790 ล้านบาท
          แม้ว่า SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 8 มากถึง 6,017 สัญญา รวม 8 วันทำการ Short สุทธิไปแล้วทั้งสิ้น 26,851 สัญญา เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 8,879 สัญญา คาดว่านักลงทุนกลุ่มนี้ปิดสถานะ Long และกลับมามีสถานะ Short เพิ่มขึ้น ภายใต้ S50U16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index ที่กว้างขึ้นเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 2.84 จุด เป็น Discount เท่ากับ 3.40 จุด ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้เลือกที่จะ short สุทธิต่อเนื่อง ทำให้ยอด QTD นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเพิ่มเป็น 21,568 สัญญา
          และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 9,252 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 24,712 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ผ่านพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากถึง 3.49bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 0.89bps ปิดที่ 2.129%

Short-Selling วานนี้ 
ลดลงเป็น 871 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 966 ล้านบาท           

NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 29 เน้นสะสมกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร
          การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 901 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 807 ล้านบาท รวม 29 วันทำการ ซื้อสุทธิทะลุ 70,000 ล้านบาท เป็น 72,827 ล้านบาท โดยกลับมาเน้นกลุ่มหลักของตลาดฯ คือ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงมาตลอด 2 วันทำการ

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
          รายงานการประชุมเฟดเดือนก.ค. เสียงแตกต่อทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
          - มุมมองต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีเสียงที่ต่างกันในการประชุม บางส่วนต้องการรอดูตัวเลขเศรษฐกิจอีกระยะหนึ่ง เพราะอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนบางกลุ่มต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วที่สุด เนื่องจากภาวะการจ้างงานใกล้เต็ม
          - สะท้อนภาพรวมเฟดต้องการรอดูตัวเลขเศรษฐกิจอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ก่อนตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
          - การจ้างงาน เฟดเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ 2Q59 กลับขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวมากกว่า 1Q59 
          - ความเสี่ยงในต่างประเทศ โดยเฉพาะ Brexit เป็นความเสี่ยงที่ไม่แน่นอนในระยะยาว ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก 

ยุโรป
          อัตราเงินเฟ้ออังกฤษทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557: เดือนก.ค. อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.6% yoy สูงกว่าตลาดคาดการณ์ที่ 0.5% yoy ทั้งนี้ BoE คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะทะลุเป้าหมาย 2.0% ภายในสิ้นปี 2560 
          เยอรมันประเมินแนวทางการพิจารณา Brexit ของอังกฤษจะเป็นแบบเฉพาะกรณี: รมว.เยอรมันที่ดูแลกิจการของอียู นาย Roth ให้ความเห็นต่อแนวทางการพิจารณา Brexit ของอังกฤษจะไม่มีรูปแบบมาตรฐาน ขณะเดียวกัน อังกฤษอย่าคาดหวังว่าจะสามารถเข้าไปใช้ตลาดอียูได้ หากไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างอิสระตามข้อตกลงร่วมกับอียู รวมถึงไม่สามารถที่จะเลือกแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่ออังกฤษแต่เพียงฝ่ายเดียว

จีน
          ไม่มี

เอเชียแปซิฟิก
          ตัวเลขส่งออกประเทศญี่ปุ่นต่ำกว่าคาดการณ์ : ตัวเลขการส่งออกของประเทศญี่ปุ่น ณ เดือนกรกฏาคม 2559 ลดลง 14% yoy จากเดือนก่อนที่ลดลง 7.4% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดลดลง 13.7% yoy แสดงให้เห็นถึงความซบเซาของเศรษฐกิจญี่ปุ่น อีกทั้งการนำเข้าของประเทศยังลดลงถึง 24.7% yoy ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลมากถึงระดับ 513.5 พันล้านเยน
          Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือของออสเตรเลียที่ AAA: เพราะแนวโน้มที่ “คงที่” ตรงกันข้ามกับ S&P ที่ให้แนวโน้มเป็น “ลบ” พร้อมส่งสัญญาณลดอันดับความน่าเชื่อถือ เนื่องจาก Moody’s ยังคงเชื่อว่าความสามารถในการชำระหนี้ ยังแข็งแกร่ง มากเพียงพอที่จะรับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
          BoJ เริ่มกังวลกับปริมาณพันธบัตรในตลาดรองอาจไม่มากพอที่จะให้เข้าซื้อ: ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ต่างทยอยลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรเกือบครึ่งของมูลค่าการลงทุน Yen114 ล้านล้าน ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2558  เป็นเดือนก่อนที่ BoJ จะเริ่มโครงการ QE ราว 1 เดือน

ไทย
          ไม่มี


 
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 18 ส.ค. 2559
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 ส.ค. 2559 เวลา : 10:38:07

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:59 am