ไทยสนับสนุนให้อาเซียนใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น พร้อมผลักดันการเจรจา RCEP
วันนี้ (7 ก.ย. 59) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 19 ซึ่งในที่ประชุมผู้นำอาเซียนและนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ต่างเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น และแผนปฏิบัติการ รวมทั้ง แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น ระยะ 10 ปี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของญี่ปุ่นในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งทำให้เกิดการเติบโต การลดช่องว่างด้านการพัฒนา การส่งเสริมการจ้างงาน และการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยพร้อมที่จะส่งเสริมให้นักธุรกิจญี่ปุ่นขยายการค้า เพิ่มการลงทุน และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอาเซียนให้มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาธุรกิจ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นวัตกรรม เทคโนโลยีสีเขียวอุตสาหกรรมดิจิตัล อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมการเกษตร
ในส่วนของไทยพร้อมที่จะส่งเสริมการลงทุนของญี่ปุ่นในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนภายใต้แนวคิด“วันพลัสวัน” เพื่อช่วยกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และห่วงโซ่การผลิตของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดความเชื่อมโยงและไร้พรมแดน
นายกรัฐมนตรีเห็นว่า อาเซียนต้องสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุน และการบริการให้ได้มากที่สุด และต้องการให้การเจรจา RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) จะเสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อช่วยกระตุ้นการค้าขายและการลงทุนให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า RCEP และ TPP ควรเกื้อหนุนซึ่งกันและกันและไม่ควรแข่งขันกัน
นอกจากนี้ ไทยได้สนับสนุนบทบาทของญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูงในเอเชียซึ่งช่วยพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาค และหวังว่าให้ญี่ปุ่นเพิ่มบทบาทในการปฏิบัติตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. 2025 เพื่อให้ความเชื่อมโยงในภูมิภาคเป็นไปอย่างไร้รอยต่อและเป็นระเบียงทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้การคมนาคมขนส่งสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงตลาดและแหล่งผลิตในพื้นที่ห่างไกลและแนวชายแดน ทำให้ประชาชนที่อยู่ใน ชนบทได้มีโอกาสอยู่ดีกินดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีเห็นว่า การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนยังมีภารกิจที่ต้องทำอีกมาก ไทยจึงหวังว่าอาเซียนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกันดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการตามข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน ฉบับที่ 3 รวมทั้ง เรียนรู้และแบ่งปันแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศในสาขาที่แต่ละฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พลังงานสะอาด การเติบโตสีเขียว การรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลผู้สูงอายุ บทบาทสตรีและเด็ก เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ไทยเห็นว่า ความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชน คือ กุญแจสำคัญของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน และชื่นชมบทบาทของญี่ปุ่นในการเชื่อมโยงประชาชนเข้าหากันผ่านข้อริเริ่มและโครงการต่าง ๆ ทั้งด้านการฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงาน การศึกษา การกีฬา ภาษา การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และไทยพร้อมที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นในเรื่องเหล่านี้
ด้านการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ไทยเชื่อมั่นว่า นโยบาย“Proactive Contribution to Peace” ของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างสร้างสรรค์จะช่วยสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง และสร้างความเป็นปึกแผ่นของภูมิภาคในอนาคต
นอกจากนี้ ไทยสนับสนุนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นในประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ผ่านกลไกต่าง ๆโดยเฉพาะการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ความมั่นคงทางไซเบอร์ การต่อต้านการก่อการร้ายและลัทธินิยมความรุนแรงสุดโต่ง และความมั่นคงทางทะเล
ข่าวเด่น