วันนี้ (8 ก.ย. 59) ซึ่งเป็นวันที่สามของการประชุมสุดยอดอาเซียน ในเวลา 09.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 14 ณ ห้องประชุม 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมกับผู้นำชาติอาเซียนและนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย
ในส่วนของไทย พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี และชื่มชมต่อนโยบาย “Act East” ที่ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมากขึ้น และเห็นว่า ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียนมีความสำคัญต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และในโอกาสที่ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียจะครบรอบ 25 ปี พ.ศ. 2560 นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทาง “Act West” เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของอินเดียและเพิ่มพูนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดังนี้
ประการแรก นายกรัฐมนตรีเสนอให้ เสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกด้าน อาเซียนและอินเดียควรร่วมมือกันเร่งรัดการสร้างถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดียให้แล้วเสร็จ รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมต่อเส้นทางนี้ไปสู่อนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ควบคู่กับการปรับประสานกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า การขนส่งข้ามแดน เพื่อให้อาเซียนและอินเดียสามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับความเชื่อมโยงทางน้ำาระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย นายกรัฐมนตรีเห็นว่าอาเซียนและอินเดียสามารถมีความร่วมมือได้ในทุกมิติ เช่น ความร่วมมือในการจัดการกับปัญหาโจรสลัดและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ รวมไปถึงการขนส่งสินค้าทางเรือเดินสมุทรในน่านน้ำอย่างเสรีและปลอดภัย นอกจากนี้ ในระดับประชาชน ยังสามารถร่วมมือกันในการศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิต และทรัพยากรทางทะเล รวมถึงความร่วมมือด้านการเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ประการที่สอง นายกรัฐมนตรีเสนอว่า อาเซียนและอินเดียควรเร่งเพิ่มพูนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้ภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียอย่างเต็มที่ โดยไทยสนับสนุนให้มีการทบทวนความตกลงด้านการค้าสินค้า ที่เน้นการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเข้าถึงตลาด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี พ.ศ.2563 โดยไทยยังเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าอาเซียน-อินเดีย ในปี พ.ศ. 2560 เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ครบรอบ 25 ปี และจะเชิญประเทศสมาชิกอาเซียน-อินเดียเข้าร่วมในงานดังกล่าว
นอกจากนี้ ไทยคาดหวังว่า อินเดียจะช่วยผลักดันการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว
ประการที่สาม อาเซียนและอินเดียควรขยายความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และนวัตกรรม เช่น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ เศรษฐกิจดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากร การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการค้นคว้าวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับรากหญ้า เช่น่ การบริหารจัดการน้ำ พลังงานชีวภาพและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมข้อริเริ่มต่างๆในการพัฒนาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ไม่ว่าจะเป็น “Made in India” “Digital India” หรือ “Smart Cities” ซึ่งเป็นนโยบายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทยที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายความเจริญและการพัฒนาอย่างสมดุล โดยใช้โมเดล”ประเทศไทย 4.0” หรือ การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และมีแผนงานที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนากฎระเบียบต่าง ๆ เช่น การสร้างเครือข่ายบรอดแบรนด์ทั่วประเทศ การจัดทำกฎหมาย ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความปลอดภัย ไปจนถึงธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมการสร้างเมืองอัจริยะ และการจัดตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร เป็นต้น นายกรัฐมนตรีหวังว่า อินเดียจะสนใจเข้ามาลงทุน และมีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของไทยต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อนาคตของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกจะอาศัยความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างบริเวณมหาสมุทรอินเดียกับบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับอินเดียจึงจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญสำหรับพื้นที่เศรษฐกิจนี้ จึงขอให้มีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไป
ข่าวเด่น