ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้เปิดปรับฐานลงทดสอบแนวรับ 1,478-1,480 จุด กดดันด้วยกลุ่มพลังงานตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง แต่ก็เกิด Technical Rebound และกลุ่ม Domestic Play ฟื้นเด่น ปิด ณ สิ้นปี SET INDEX ลบเพียง 2.74 จุด มาอยู่ที่ 1,490.14 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 34,952 ล้านบาท
แม้ต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 544 ล้านบาท แต่ยังคง Long สุทธิใน SET50 Idnex Futures เป็นวันที่ 5 อีก 5,973 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 6 อีก 4,353 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- ส่งออกเดือนส.ค.ของไทยฟื้นตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน จากยอดสินค้าอุตฯ
- Window Dressing
- ติดตามการ Debate ระหว่าง Trump และ Clinton ครั้งแรกวันนี้ ตลาดคาดหาก Trump ทำคะแนนได้ดี อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น
- ติดตามการประชุมโอเปกในวันที่ 26-28 ก.ย.
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 2)
แม้ว่าปัจจัยแวดล้อมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะเป็น “กลาง” แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเฉลี่ย 4.0 หมื่นล้านบาท/วัน +/- ในช่วงนี้ อาจทำให้ SET INDEX เกิดความผันผวนระหว่างชั่วโมงการซื้อขายได้มากขึ้น
เพียงแต่ Downside risk ของตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างจำกัด เพราะมีแรง Support จากการทำ Window Dressing ในสัปดาห์นี้ อีกทั้งนักลงทุนอาจรอดูผลสรุปการประชุมของโอเปกในวันพรุ่งนี้ เพื่อประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบ และการเก็งกำไรต่อกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี แนวรับ 1,470-1,480 จุดจะยังทำงานได้ดีในช่วงนี้ ตามความเห็นของเรา
สำหรับการโต้วาทีระหว่างตัวแทนจากพรรค Democrate โดยนาง Hillary Clinton และพรรค Republican นาย Donald Trump ในช่วง 8.00 น.เช้านี้ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเป็นการโต้วาทีระหว่างกันครั้งแรก และผลของการโต้วาทีครั้งนี้น่าจะมีผลต่อทิศทางคะแนนเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงในเดือนต.ค. ก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย. ตลาดต่างกังวลว่า หาก Trump ได้คะแนนเสียงกลับมานำนาง Clinton อาจทำให้เกิดความผันผวนในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงได้เช่นกัน อาจเป็นอีกตัวแปรที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
กลยุทธ์การลงทุน “ยังคงเน้น Swing Trade ขึ้นแรงขาย และลงแรงซื้อ” ในหุ้นที่แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 3Q59 เติบโตเด่น yoy และ/หรือ qoq ประเมินกรอบแกว่งของ SET INDEX วันนี้ระหว่าง 1,480-1,500 จุด
Strategy of the Day
1. เก็งกำไร BCP : ราคาปิด 31.75 บาท ราคาเหมาะสม 39.00 บาท
a) ราคาหุ้นมี Sentiment บวก จากการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ NYMEX เมื่อคืนนี้ +3.2% จากความคาดหวังเชิงบวกต่อการประชุม OPEC ในวันที่ 26-28 ก.ย. และบริษัทลูกคือ BCPG จะ IPO และเข้าซื้อขายในตลท.วันพรุ่งนี้
b) อิงราคา IPO ที่ 10.00 บาท จะได้ Market Cap ของ BCPG ที่ 1.99 หมื่นล้านบาท และอิงราคาเป้าหมายที่ 11.60 บาท จะได้ Market Cap ของ BCPG ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท เทียบเท่าราว 50% เมื่อเทียบกับ Market Cap ของ BCP ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่หุ้น BCP จะ Re-Rating ได้ในแง่ Valuation
c) Valuation ถูก ซื้อขายระดับ PBV2559 ที่ 1.1 เท่า และ PER2559 ที่ 9.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราว 5% ต่อปี
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ US$142 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$145 ล้าน
ทั้งนี้ต่างชาติขายทุกตลาด
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติเป็น Long สุทธิมากขึ้นใน QTD
นักลงทุนต่างชาติ คงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เพียง 544 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 1,168 ล้านบาทเท่านั้น และทำให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิลดลงเล็กน้อยเป็น 134,597 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 5 เร่งขึ้นเป็น 5,973 สัญญา รวม 5 วันทำการ Long สุทธิ 23,006 สัญญา คาดว่าจะเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Long สุทธิอีกครั้ง เมื่อดู S50Z16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้น 5.67 จุด ทำให้ยอด QTD นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิมากขึ้นเป็น 6,698 สัญญา
และนักลงทุนกลุ่มนี้ คงการซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 6 ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าเท่ากับ 4,353 ล้านบาท รวม 6 วันทำการซื้อสุทธิ 30,142 ล้านบาท และราคาพันธบัตรไทยทรงตัวต่อเนื่อง ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงเป็นวันที่ 3 อีก 0.33bps จากวันก่อนหน้าลดลง 0.02bps ปิดที่ 2.155%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเหลือ 993 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,685 ล้านบาท และ SBL กระจายตัว 75 ตัว จากวันก่อนหน้า 73 ตัว
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ เน้นลดน้ำหนักกลุ่ม ICT
การซื้อขายผ่าน NVDR กลับมาขายสุทธิ 842 ล้านบาท จาก 4 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 4,262 ล้านบาท โดย NVDR กลับมาลดน้ำหนักกลุ่ม ICT สูงสุด 416 ล้านบาท กลุ่มพลังงาน 172 ล้านบาท และกลุ่มโรงพยาบาล ขายสุทธิ 136 แต่ซื้อกลุ่มไฟแนนซ์สูงสุด เพียง 82 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
- ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง
- ยอดขายบ้านใหม่ เดือนส.ค. เท่ากับ 6.09 แสนหลัง ดีกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 5.98 แสนหลัง แต่ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 6.59 แสนหลัง
- เฟดสาขา Minneapolis เห็นด้วยกับการคงอัตราดอกเบี้ย: นาย Kashkari ให้ความเห็นว่าเฟดยังมีเวลาในการปรับอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเกินไปเป็นความเสี่ยงที่มากกว่าการเห็นอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเกินไป รวมถึงอัตราการว่างงานจะเป็นอีกตัวแปรในการพิจารณาการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย
ยุโรป
- Deutsche Bank เกิดแรงกดดันต่อการปรับโครงสร้างทุน: หลังเกิดความเสี่ยงที่จะถูกเรียกความเสียหายจากการทำผิดกฎหมายในการ Settlement ขายหุ้นในสหรัฐฯ ความเสียหายอาจสูงถึง US$1.4 หมื่นล้าน กรณีรายการขายหลักทรัพย์ Mortgage-Backed Securities ในส่วนที่อยู่อาศัย มากกว่าที่ทางธนาคารแจ้งไว้ที่ 5.5 พันล้านยูโร ทำให้ทางการสหรัฐฯ เตรียมฟ้องร้องทั้งกรณีการตบแต่งอัตราแลกเปลี่ยน, การซื้อขายโลหะมีค่า และอีกหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่โอนย้ายออกจากรัสเซีย
- พรรคฝ่ายค้านของอังกฤษกดดันให้รัฐบาลเปิดเผยแนวทางการเจรจากรณี Brexit: นับตั้งแต่ผลการลงประชามติผ่านไป 3 เดือน นายกฯ May ให้แนวทางต่อ Brexit เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยข้ออ้างเรื่องเวลาที่จะต้องเตรียมงานก่อนจะเริ่มเข้าสู่ขบวนการออกจากการเป็นสมาชิก ทำให้รัฐบาลสามารถถ่วงเวลาการพิจารณา ซึ่งฝ่ายค้านเริ่มไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาล
จีน
- จีนยังคงยืดเวลาการใช้ Anti-Dumping กับไก่ต้มสุขนำเข้าจากสหรัฐฯ: รมว.คลัง จีน ประกาศยืดเวลากฎ anti-dumping การนำเข้าไก่ต้มสุกจากสหรัฐฯ ออกไปอีก 5 ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวได้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากราคาไก่ดังกล่าวต่ำกว่าราคากลางในตลาดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไก่ในจีน
- จีนกำหนดเงินกองทุน US$5.25 หมื่นล้านในการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ: State-owned Assets Supervision and Administration Commission (SASAC) จะเป็นผู้บริหารจัดการ China State-owned Enterprises Restructuring Fund โดย 10 รัฐวิสาหกิจจะได้รับการช่วยเหลือจากเงินกองทุนนี้ในการปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึง M&A ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่รัฐบาลต้องการลดปริมาณอุปทานในบางอุตฯ ซึ่ง 10 รัฐวิสาหกิจนี้มีทุนจดทะเบียน 1.31 แสนล้านหยวน เช่น China Mobile, China Railway Rolling Stock Corporation, China Petroleum&Chemical Corp เป็นต้น
- ธนาคารกลางจีนดูดซับสภาพคล่องทางการเงินออกจากระบบสูงสุดในรอบ 6 เดือน: ธนาคารกลางจีนดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบมากถึง 2.45 แสนล้านหยวน ผ่านสัญญาซื้อขาย RP โดย RP1 วันถูกถอนมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. ทั้งนี้ธนาคารกลางต้องการควบคุมระดับหนี้ในระบบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะตามมา ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในระบบพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นในวันที่ 26 ก.ย.
เอเชียแปซิฟิก
- BoJ ยืนยันเดินหน้าผ่อนคลายการเงินต่อไปหากจำเป็น: ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองโอซากาในวันนี้ โดยให้คำมั่นสัญญาว่า BOJ จะเดินหน้าผ่อนคลายการเงินต่อไป "โดยไม่ลังเล" หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น พร้อมกับกล่าวว่า BOJ จะยังคงทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% การผ่อนผ่อนคลายทางการเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสภาวะของตลาดการเงิน และ BOJ มีความพร้อมที่จะใช้เครื่องมือนโยบายทุกด้านเท่าที่เป็นไปได้ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย
- IMF กระตุ้นให้ BoJ อธิบายแนวทางนโยบายการเงินที่ประกาศมาก่อนหน้าให้มีความชัดเจน: IMF แนะนำให้ทาง BoJ อธิบายเพิ่มเติมถึงแนวทางนโยบายการเงิน และปรับปรุงการสื่อสารกับสื่อมวลชนให้มีความชัดเจน หลังประกาศใช้กรอบการทำงานใหม่ในวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการสร้างเสถียรภาพในตลาดตราสารหนี้ของญี่ปุ่น หลัง BoJ เริ่มใช้แนวทางใหม่
ไทย
- ส่งออกเดือนส.ค.ขยายตัว 6.5% กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 5 เดือน: กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศในเดือน ส.ค.59 การส่งออกมีมูลค่า 18,825 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 6.5% ขณะที่ตลาดคาดส่งออกหดตัว -1.4% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 16,697 ล้านเหรีญสหรัฐฯ หดตัว -1.5% ส่งผลให้ดุลการค้าเดือน ส.ค.59 เกินดุล 2,128 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภาพรวมการส่งออกในเดือน ส.ค.59 มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังคงหดตัวต่อเนื่อง ตามการลดลงของทั้งปริมาณการส่งออกและราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เนื่องจากภาวะภัยแล้ง การชะลอตัวของอุปสงค์โลก และราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวเป็นบวกอีกครั้ง โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกยานยนต์ที่ขยายตัวในระดับสูง รวมทั้งการขยายตัวของภาคการก่อสร้างและภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะ CLMV โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 9.0% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัว 40.4% เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัว 44.5% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัว 25.0% อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์/ไดโอดขยายตัว 102.6% และผลิตภัณฑ์ยางขยายตัว 11.0%
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 27 ก.ย. 2559
ข่าวเด่น