ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้เปิดโดดขึ้นไปแกว่งแคบ 1,490-1,495 จุด ผลักดันโดยกลุ่มพลังงาน หลังโอเปกได้ข้อสรุปในกรอบกว้างของการลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ก็ยังเกิดแรงขายทำกำไรมากขึ้นในช่วงท้ายตลาด ปิด ณ สิ้นวันที่ 1,491.43 จุด บวก 11.85 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 50,602 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทย 1,291 ล้านบาท แต่คงการ Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 8 มากถึง 11,077 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นวันที่ 9 อก 144 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ต่างชาติ Long สุทธิใน SET50 Index Futures หนาแน่นวานนี้
ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจเดือนส.ค.ของไทย บ่ายวันนี้
คาดผลของ Window Dressing วันสุดท้ายเบาบาง
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
เข้าสู่ฤดูกาลประมาณการ 3Q59 เริ่มต้นด้วยกลุ่มธนาคาร
ติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 5)
เนื่องด้วยเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ และผล Window Dressing น่าจะลดระดับลง ทำให้เราคาด SET INDEX มีโอกาสชะลอตัวลงมาปิดบริเวณ 1,480 จุด +/- จากแรงขายทำกำไร ปิดความเสี่ยงในช่วงสุดสัปดาห์
สำหรับปัจจัยสำคัญวันนี้ ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจเดือนส.ค. ซึ่งเราให้น้ำหนักกับรายได้ของเกษตรกร / การใช้จ่ายภาคเอกชน เป็นสำคัญ เพื่อประเมินกำลังซื้อภายในประเทศที่ฟื้นตัวมาตั้งแต่กลางปี 2559 และเมื่อรวมกับโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย วงเงิน 6.5พันล้านบาท เริ่มปีงบประมาณ 2560 หรือตั้งแต่เดือนต.ค. เชื่อว่าจะทำให้กลุ่มค้าปลีกยังคงเด่นเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นโดยรวม
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า เราให้น้ำหนักกับประมาณการผลการดำเนินงาน 3Q59 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งเราเชื่อว่าธนาคารขนาดเล็ก และธนาคารที่เน้นกลุ่มผู้บริโภค (Consumer Loans) จะมีผลการดำเนินงานเติบโต qoq / yoy เด่น โดยเฉพาะ KTB / SCB/ TISCO ที่ 3Q58 มีแรงกดดันจากหนี้เสีย SSI ขณะที่ KBANK/ TMB ฐานลูกค้าเป็น SMEs ยังคงเป็นที่น่าจับตามองว่า NPLs จะชะลอตัวลงหรือไม่
กลยุทธ์การลงทุน “เน้นขายทำกำไรและกลับมาถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่” ทั้งนี้อาจซื้อเก็งกำไรรอบสั้นบริเวณ 1,480 จุดหรือต่ำกว่าและถือข้ามสัปดาห์”
Strategy of the Day
1. สะสม GPSC : ราคาปิด 36.00 บาท ราคาเหมาะสม 38.00 บาท
a) MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าจะเป็นที่พักเงินได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน
b) ทิศทางกำไรสุทธิ 3Q59 คาดว่าจะเติบโตทั้ง yoy และ qoq จากการรับรู้รายได้เงินปันผลของ RPCL รวมทั้งเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า NNEG เต็มไตรมาส
c) คาดกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต +17.5% yoy เป็น 2,500 ล้านบาท ต่อเนื่อง +12.2% ในปี 2560 และโครงการไซยะบุรีในปี 2561 จะผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2561 เร่งตัวขึ้นอีก +23.2% yoy เป็น 3,457 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราว 3.5% ต่อปี
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ US$664 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$240 ล้าน
ทั้งนี้ต่างชาติซื้อแทบทุกตลาด ยกเว้น ตลาดหุ้นไทย
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติ Long สุทธิใน SET50 Index Futures ต่อเนื่อง และมากถึง 11,077 สัญญา
นักลงทุนต่างชาติ กลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,291 ล้านบาท และทำให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิลดลงเล็กน้อยเป็น 133,038 ล้านบาท
แต่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 8 มากถึง 11,077 สัญญา รวม 8 วันทำการ Long สุทธิขยับขึ้นเป็น 46,735 สัญญา คาดว่าจะเป็นเร่งเปิดสถานะ Long ต่อเนื่อง ทั้งนี้ S50Z16 กลับมาปิดต่ำกว่า SET50 Index อีกครั้ง แต่แคบเพียง 0.31 จุด จากวันก่อนหน้า Premium มากถึง 2.70 จุด ทำให้ยอด QTD นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิมากขึ้นเป็น 30,427 สัญญา
และนักลงทุนกลุ่มนี้ คงการซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 9 ลดลงเหลือเพียง 144 ล้านบาท รวม 9 วันทำการซื้อสุทธิขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เป็น 57,593 ล้านบาท ราคาพันธบัตรไทยขยับขึ้นเป็นวันที่ 2 เพียงเล็กน้อย ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงเพียง 0.14bps จากวันก่อนหน้าลดลงมากถึง 2.13bps ปิดที่ 2.132%
Short-Selling วานนี้
เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 มากถึง 1,404 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 856 ล้านบาท และ SBL กระจายตัว 66 ตัว จากวันก่อนหน้า 74 ตัว
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เน้นกลุ่ม ICT ขนส่ง ปิโตรเคมี
การซื้อขายผ่าน NVDR กลับมาขายสุทธิมากถึง 1,236 ล้านบาท จาก 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 602 ล้านบาท โดยเป็นการลดน้ำหนักหุ้นหลักในกลุ่ม ICT มากที่สุด 525 ล้านบาท กลุ่มขนส่ง 306 ล้านบาท และกลุ่มปิโตรเคมี 199 ล้านบาท ส่วนกลุ่มพลังงานกลับเป็นกลุ่มที่ถูกซื้อสุทธิหนาแน่นที่สุด 434 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง
- GDP ใน 2Q59 รอบสุดท้ายขยายตัว 1.4% qoq ดีกว่า Bloomberg consensus คาดการณ์ 1.3% qoq และรายงานก่อนหน้า 1.1% qoq โดยเป็นการลงทุนคงที่ในส่วนที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย
- ยอดขอสวัสดิการว่างงาน เท่ากับ 2.54 แสนตำแหน่ง ดีกว่า Bloomberg consensus คาด 2.60 แสนตำแหน่ง แต่แย่กว่าสัปดาห์ก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 2.51 แสนตำแหน่ง
- ยอดขายบ้านมือสองรอปิดการขาย เดือนส.ค. หดตัว 2.4% mom สวนทางกับที่ Bloomberg consensus คาดเพิ่มขึ้น 0.5% mom และเดือนก่อนหน้า +1.2% mom และส่งสัญญาณอ่อนแอในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
เฟดเสนอแนวคิดการเข้าซื้อหุ้น หุ้นกู้ จะช่วยความเสี่ยงในอนาคต: ประธานเฟด Janet Yellen เสนอแนวคิดที่เฟดอาจเข้าซื้อหุ้น และหุ้นกู้เอกชน เพื่อช่วยแก้ไขเศรษฐกิจในอนาคตที่อาจชะลอตัวได้ แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีแรงกดดันดังกล่าว แต่เป็นการส่งสัญญาณเฟดให้การเตรียมพร้อมสู่งการซื้อสินทรัพย์เอกชน
ยุโรป
ธนาคารกลางฟินแลนด์ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจอียูลง จาก Brexit และปัญหาในอิตาลี: ประมาณการเศรษฐกิจอียูในปี 2559 เท่ากับ 1.7% จากก่อนหน้า 1.6% และปีหน้าจะเหลือเพียง 1.3% และ 1.6% ปี 2561 จากเดิมคาดเติบโต 1.8% ต่อปีในปี 2560-2561 เนื่องจากปัญหาความไม่เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับอังกฤษ (Brexit) และปัญหาในระบบสถาบันการเงินและเศรษฐกิจในอิตาลี ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะยังต่ำกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ 0.4% ปีนี้ และขยับเป็น 1.4% และ 1.5% ปี 2560-2561
ยอดอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของอังกฤษต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557: ยอดอนุมัติสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเท่ากับ 60,058 รายการ ลดลงจากเดือนก.ค.ที่ 60,925 รายการ และต่ำกว่า Reuters Poll ที่ 60,150 รายการ เนื่องจากตลาดบ้านที่ชะลอตัว หลังผลประชามติ Brexit ในเดือนมิ.ย.
ดัชนีภาวะเศรษฐกิจในอียูดีกว่าคาดในเดือนก.ย.: เท่ากับ 104.9 จุด ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 103.5 จุด เนื่องจากความเชื่อมั่นภาคอุตฯ ที่ฟื้นตัว จาก -4.1% เดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนเป็น -1.7 จุด และความเชื่อมั่นในเยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน และเนเธอร์แลนด์ขยับขึ้นแข็งแกร่ง
Deutsche Bank ได้รับผลกระทบจากการถูกฟ้องร้อง: ธนาคารดอย์ชแบงก์ได้รับผลกระทบจากความน่าเชื่อถือในสายตาของนักลงทุน หลัง Hedge Funds หลายแห่งต่างทยอยปิดสถานะในตราสารอนุพันธ์กับ Deutsche Bank และถอนเงินสดส่วนเกิน พร้อมปรับสถานะที่ถือกับธนาคาร สะท้อนถึงความกังวลต่อความสามารถในการทำธุรกิจของธนาคาร
จีน
ทางการจีนสั่งปิดโรงงานเหล็กอีก 2 แห่ง ตามนโยบายลดกำลังการผลิต: The National Development and Reform Commision (NDRC) สั่งปิดโรงงานเหล็ก 2 แห่ง ส่วน 29 บริษัทให้หยุดการผลิตชั่วคราว และอีก 23 แห่งให้ควบคุมกำลังการผลิต ส่วนการตรวจสอบเหมืองถ่านหิน พบว่า 28 เหมืองไม่ผ่านใบอนุญาตความปลอดภัย ส่วน 286 เหมืองถ่านหินถูกหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้รัฐบาลตั้งเป้าลดกำลังการผลิตถ่านหิน 500 ล้านตันภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
เอเชียแปซิฟิก
BoJ ยืนยันนโยบายการบริหาร Yield Curve เหมาะสม: ผู้ว่าการ BoJ ยืนยันถึงนโยบายการบริหาร Yield Curve จะทำให้อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นสู่เป้าหมาย 2.0% พร้อมกับส่งสัญญาณอาจลดอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นและระยะยาว หรือขยายวงเงิน QE เพิ่มเติมได้ และหากมีความจำเป็น ก็พร้อมที่จะขยายฐานเงินให้เร็วขึ้นได้เช่นกัน
ธนาคารกลางไต้หวันคงอัตราดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.375% สอดคล้องกับที่ Bloomberg consensus คาดการณ์ เมื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวในอัตรา 0.7% yoy ใน 2Q59 หลังจากเศรษฐกิจหดตัวมาตลอด 3 ไตรมาสก่อนหน้า
ตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกมาเป็นกลาง
- อัตราการว่างงานเดือนส.ค. เท่ากับ 3.1% ขยับขึ้นจากเดือนก.ค.ที่ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2538
- การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนส.ค. หดตัว 4.6% yoy แย่กว่า Reuters Poll ที่คาดลดลง 2.5% yoy และเป็นการลดลงในอัตราเร่งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -0.5% yoy สะท้อนถึงการบริโภคภาคเอกชนยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง
ไทย
คลังคงเป้า GDP ปีนี้ที่ 3.3% คาด 4Q59 เงินลงทุนเข้าระบบแสนล้าน: สศค. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเดือนสิงหาคม 2559 ขยายตัวได้ดี โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกในรอบ 5 เดือน และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัว จากสถานการณ์ภัยแล้งที่คลี่คลาย ทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 4.5% การบริโภคสินค้าคงทนขยายตัวสะท้อนจากยอดขายรถยนต์นั่ง รถปิคอัพ และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน สศค.ยังคงอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.3% โดยประเมินเศรษฐกิจไทย 3Q59 จะขยายตัว 3.5% ส่วน 4Q59 ยังขยายตัวดี เนื่องจากมีเม็ดเงินจากหลายโครงการทั้งกองทุนหมู่บ้านและการเร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เร็วขึ้น อีกเกือบ 100,000 ล้านบาท ที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดีขึ้น
สศค.คาด GDP ใน 3Q59 เติบโต 3.5% yoy: สศค. เปิดเผยว่า ประเมินว่าแนวโน้มการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจใน 3Q59 จะขยายตัวได้ราว 3.5% ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนในเดือน ส.ค. ได้ 3.05 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 37.2% รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ และทิศทางการส่งออกที่มีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น แนวโน้ม 4Q59 เชื่อว่าจะมีปัจจัยเสริมจากการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านกองทุนหมู่บ้านแห่งละ 5 แสนบาท โดยขณะนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 1.9 หมื่นล้านบาท จากภาพรวมทั้งหมด 3.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายเม็ดเงินลงทุนโครงการขนาดเล็กที่รัฐบาลได้มีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายออกมาในช่วงก่อนหน้านี้
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 30 ก.ย. 2559
ข่าวเด่น