ก.อุตฯ รุกยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ เปิดมหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการ ตั้งเป้าดึง SMEs เข้าถึงบริการภาครัฐ เพื่อรับการส่งเสริมในปี 60 กว่า 6,000 ราย โชว์ 5 กลุ่ม SMEs ศักยภาพ ภาคตะวันออก เตรียมดันโครงการส่งเสริมยกระดับทั้งภูมิภาค
กระทรวงอุตสาหกรรม เผยมาตรการผลักดันและพัฒนาผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม หลังพบการกระจายความเข้มแข็งและประสิทธิภาพยังไม่ทั่วถึง โดยเตรียมรุกยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ภายใต้กิจกรรม “พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ SME 4.0” พร้อมเปิดพื้นที่มหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการกลุ่มภาคตะวันออกเป็นแห่งแรก ชี้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคที่สำคัญของประเทศ 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์จากยางพาราและยางพาราดิบ กลุ่มผลไม้ กลุ่มสินค้าอาหารและการเกษตรแปรรูป กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ และกลุ่มสมุนไพรและเครื่องสำอาง พร้อมตั้งเป้าให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกิจกรรมและบริการส่งเสริมจากภาครัฐในปี 2560 ไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย ทั่วประเทศ
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมและการยกระดับรายได้ของประชากรในประเทศให้สูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังนับได้ว่าเป็นประเทศที่น่าลงทุนในระดับภูมิภาคจากการสำรวจของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับต่างๆ ที่ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาสู่ระดับภูมิภาคและการเข้าถึง SMEs รายย่อยที่มีความต้องการในการส่งเสริมเท่าที่ควร เนื่องจากความเจริญส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ซึ่งการกระจายความเข้มแข็งเข้าไปสู่ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระดับภูมิภาคนั้นถือเป็นการช่วยให้ระบบธุรกิจมีการกระจายตัวได้สม่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มดังกล่าว เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเกิดความสมดุล ทั้งนี้ยังคงต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ พร้อมทั้งการบริหารจัดการที่ดีและได้มาตรฐาน เพื่อให้ SMEs สามารถแข่งขันได้ท่ามกลางสภาวการณ์ที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสอดคล้องกับการเข้าสู่การค้าเสรีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ดร.อรรชกา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “พลิกธุรกิจสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ SME 4.0” พร้อมจัดมหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นกิจกรรรมที่นำหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการส่งเสริม SMEs เข้าร่วมเผยแผนการจัดการธุรกิจ การเผยแพร่โครงการ และการให้บริการในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการทั้ง SMEs และ OTOP เพื่อเป็นการสร้างความรู้และพัฒนาขีดความสามารถให้ผู้ดำเนินธุรกิจมีความพร้อมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของบริบทประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมและมุ่งไปสู่การพัฒนาในทุกระดับทั่วภูมิภาคอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงฯ ตั้งเป้าให้ SMEs สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากภาครัฐ ในปี 2560 ไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย
พร้อมมุ่งหวังให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถปิดจุดอ่อนในการดำเนินธุรกิจได้ต่อไป
อย่างไรก็ดี การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระดับภูมิภาคของอุตสาหกรรมไทยนั้น ต้องใช้จุดแข็งที่มีอยู่ คือ การมีวัตถุดิบที่หลากหลายและมีคุณภาพ การมีแรงงานฝีมือ การมีภาคเกษตรและภาคบริการที่เอื้อต่อการต่อยอดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน การมีทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่สามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวสามารถนำมาสร้างความได้เปรียบต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างหลากหลาย อาทิ การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฯลฯ โดยจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัย และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพทุกภาคส่วนให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ดร.อรรชกา กล่าวปิดท้าย
ด้าน ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ภาคตะวันออก ถือเป็นแหล่งอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคที่สำคัญของประเทศ โดยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกว่า 226,000 ราย (ข้อมูลจาก สสว.) และถือเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เนื่องจากมีการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก รวมถึงยังถือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาที่หลากหลาย ทั้งโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ การมีโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ มีสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวและมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง รวมถึงเป็นแหล่งผลิตอาหารและการเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะการเพาะปลูกผลไม้และยางพาราที่สามารถรองรับการบริโภค แปรรูป และส่งออก นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมการผลิตที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยและแนวทางอันดีที่เอื้อประโยชน์ไปสู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับประเทศให้มีความเข้มแข็ง พร้อมเสริมสร้างให้มีการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งจะก่อให้เกิดผลต่อการปรับโครงสร้างภาคการผลิตของอุตสาหกรรมได้ในระยะยาวต่อไป
ขณะเดียวกัน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมสำคัญใน 5 กลุ่ม SMEs ภาคตะวันออก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์จากยางพาราและยางพาราดิบ กลุ่มผลไม้ กลุ่มสินค้าอาหารและเกษตรแปรรูป กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ และกลุ่มสมุนไพรและเครื่องสำอาง ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ต้องเร่งผลักดันและพัฒนาด้วยการยกระดับในด้านประสิทธิภาพและการบริหารจัดการให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงในภูมิภาค โดยยังพบปัญหาที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข อาทิ การขาดแคลนแรงงานฝีมือ ปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำ ปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม การเกิดภัยธรรมชาติ ปัญหามลพิษ และปัญหาด้านการพัฒนานวัตกรรม เป็นต้น ทั้งนี้ จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การให้ความสำคัญกับการผลิตตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ การเพิ่มผลิตภาพการผลิตตามกระแสการบริโภคที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปผลไม้ รวมทั้งวัตถุดิบจากการประมงเพื่อการส่งออก การแปรรูปยางพาราเพื่อเป็นวัสดุทดแทน ฯลฯ ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่าหลังจาก SMEs ในภูมิภาคเกิดการปรับตัวและพัฒนาศักยภาพผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐแล้ว จะช่วยสร้างและกระจายความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในระดับมหภาคได้ในอนาคต
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 จ.ชลบุรี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร.038 784 064-7 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th
ข่าวเด่น