ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
เจ้าสัว'ธนินท์'หนุนนโยบายรัฐThailand 4.0


 


การดำเนินนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์    จันทร์โอชา   เพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทย  มีการเติบโตอย่างมั่นคั่ง  มั่นคง   ยั่งยืน   ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำภาคเอกชนด้านค้าปลีกว่าเป็นการดำเนินโยบายที่ถูกต้อง   

โดยในการเสวนาหัวข้อ "พันธมิตรระดับโลกในยุคโลกานิยม" ในงาน The Nikkei Asia 300 Global Business Forum   เนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้ง 140 ปี นายธนินท์   เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.)  ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยภายใต้นโยบายThailand   4.0     โดยมุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นนโยบายที่ดี
 
 

และยังเป็นโอกาสของไทยและอาเซียน โดยเฉพาะไทยจะได้ประโยชน์     เพราะเป็นประเทศศูนย์กลางของอาเซียน  ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและอินเดีย     แต่ภาครัฐจะต้องสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยจะต้องปรับปรุงกฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ  เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยีหุ่นยนต์   และยานยนต์สมัยใหม่   ซึ่งหากทำได้จะส่งเสริมให้ไทยเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในอาเซียน
 

โดยในการรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่   เครือเจริญโภคภัณฑ์   ได้ปรับแนวทางการผลิตสู่การสร้างโรงงานไร้แรงงานมนุษย์ในสหภาพยุโรป   โดยใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาควบคุมการผลิต   รวมถึงการค้นคว้าวิจัยไบโอเทคโนโลยี มาผลิตสินค้าเกษตรให้มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ  ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  
         
นอกจากนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้จับมือเป็นพันธมิตร กับบริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทการค้ายักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น   เพื่อผลิตอาหารสำหรับผู้สูงอายุ และศึกษารูปแบบการสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ  เพราะต้องยอมรับว่าทิศทางสังคมของโลกและของไทย  จะมีผู้สูงอายุมากขึ้น 
         
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจ นายธนินท์ ยืนยันว่า การลงทุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในประเทศต่างๆ จะยึดหลัก 3 ประโยชน์ คือ เกิดประโยชน์กับประเทศที่ลงทุน    เกิดประโยชน์กับประเทศที่ไปลงทุน และเกิดประโยชน์กับเครือเจริญโภคภัณฑ์     และขณะนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้สร้างศูนย์ฝึกอบรมผู้นำ    โดยคัดผู้บริหารจากกลุ่มงานต่างๆ มาอบรมจากพนักงานทั้งหมด 300,000 คน    เพื่อสร้างคนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
 

ส่วนทิศทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต   คุณธนินท์มองว่า    เศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวได้เร็วที่สุด เนื่องจากสหรัฐฯมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า   มีกฎหมายที่คล่องตัวได้เปรียบประเทศอื่นๆ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะฟื้นตัวเป็นประเทศที่สอง และมีโอกาสแซงหน้าสหรัฐฯ และขยับขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกได้  หากนักธุรกิจญี่ปุ่นกล้ายอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้น    ส่วนจีนจะฟื้นตัวเป็นประเทศที่สาม   เพราะสถานการณ์การเมืองนิ่งมีความต่อเนื่องของนโยบายและเศรษฐกิจมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก
         


            

LastUpdate 08/10/2559 06:12:20 โดย : Admin

24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 7:31 am