ก.ล.ต. ขอให้ผู้ถือหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) ศึกษาข้อมูลและไปใช้สิทธิในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2559 ในวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2559 ในวาระที่ JMT จะขออนุมัติเพื่อสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทย่อยราย บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด (JMT Plus) มูลค่ารวม 1,100 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท JMT
JMT จะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ JMT Plus รวมมูลค่า 1,100 ล้านบาท ให้แก่ JMART โดยรายการนี้มีขนาดร้อยละ 70.73 ของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของ JMT และเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน
คณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบของ JMT มีความเห็นว่า การสละสิทธิดังกล่าวมีความเหมาะสม เพราะจะทำให้ JMT สามารถใช้เงินทุนที่มีอยู่มุ่งเน้นธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญ และรักษาโครงสร้างเงินทุนได้ในระดับเหมาะสม ขณะที่ JMT Plus เป็นธุรกิจที่ยังไม่แน่นอน มีความเสี่ยงในการชำระเงินกู้ยืมและอาจไม่จ่ายผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากนี้ การที่ JMT สละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ JMART จะทำให้ JMT Plus ได้ประโยชน์จากความสามารถในการเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ที่มีในปัจจุบันของ JMART ซึ่งจะทำให้ JMT Plus สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) มีความเห็นว่า การสละสิทธิ์ดังกล่าวไม่เหมาะสมในด้านราคา เพราะมูลค่ายุติธรรมของหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ JMT Plus อยู่ที่ 10.33 – 13.22 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาในการทำรายการที่ 10 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ การสละสิทธิ์ยังไม่เหมาะสมในด้านเงื่อนไข เพราะแม้จะเป็นผลให้ JMT มิได้มีสภาพเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JMT Plus แล้วก็ตาม แต่ JMT ยังต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบในค่าเสียหาย หาก JMT Plus ผิดเงื่อนไขสัญญาต่อบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ รวมถึงการผิดนัดชำระเงินตามสัญญา
ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบรับทราบความเห็นดังกล่าวของ IFA แล้ว ยังคงมีมติเห็นชอบกับความเห็นของคณะกรรมการ
ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นศึกษาข้อมูลโดยละเอียดและใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมกับซักถามผู้บริหารบริษัทถึงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนในการประกอบการตัดสินใจด้วย
อนึ่ง รายการดังกล่าวข้างต้นต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย
ข่าวเด่น