ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม รองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และนายกรัฐมนตรีและเจ้าผู้ครองนครดูไบ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคาร "The Tower at Dubai Creek Harbour" ซึ่งจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกเมื่อแล้วเสร็จในปี 2563
ทั้งนี้ ฯพณฯ โมฮัมหมัด อัล เกอร์กาวี ประธาน Dubai Holding, โมฮัมเหม็ด อัลอับบาร์ ประธาน Emaar Properties และผู้มีเกียรติท่านอื่น ๆ ได้เข้าร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์ดังกล่าวด้วย
The Tower จะส่งเสริมชื่อเสียงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในด้านการรังสรรค์นวัตกรรมทางสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้าง โดยตึกระฟ้าแห่งใหม่ที่เตรียมขึ้นครองบัลลังก์ตึกที่สุดในโลกแทนเจ้าของสถิติในปัจจุบันอย่าง Burj Khalifa นั้น โดดเด่นด้วยวิว 360 องศาสุดตระการตา ซึ่งสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมือง รวมถึงมุมมองที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา
The Tower กำหนดนิยามใหม่ของเส้นขอบฟ้าอันน่าประทับใจ และเตรียมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางระดับโลกแห่งใหม่ โดยตึกระฟ้าแห่งใหม่นี้กินพื้นที่ 6 ตารางกิโลเมตรใน Dubai Creek Harbour โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับมาสเตอร์แพลนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางอัจฉริยะแห่งยุคหน้า ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาล่าสุดในด้านปัญญาประดิษฐ์
Dubai Creek Harbour ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่าง Emaar และ Dubai Holding ตั้งอยู่ใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติดูไบและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ Ras Al Khor ที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์ของยูเนสโก โดยได้ ซานติเอโก คาลาทราวา วอลลส์ สถาปนิกลูกครึ่งสเปนสวิส เป็นผู้ออกแบบ
โมฮัมหมัด อัล เกอร์กาวี กล่าวว่า "การสร้างตึกระฟ้าแห่งใหม่นี้เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพราะเราวางแผนให้อาคารดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของประเทศ นอกจากนี้ The Tower ยังเป็นการเฉลิมฉลองวิสัยทัศน์ของ ท่านชีค โมฮัมเหม็ด ที่เน้นย้ำด้วยการประกาศ "UAE Strategy for the Future" กลยุทธ์เพื่ออนาคตในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการเปลี่ยนผ่านของประเทศ
โมฮัมเหม็ด อัลอับบาร์ กล่าวว่า "ดูไบเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมการสร้างตึกระฟ้า รวมถึงการพัฒนาสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมสุดล้ำ และ The Tower จะขึ้นแท่นเป็นสิ่งปลูกสร้างอันยอดเยี่ยมของเมืองอัจฉริยะ ตามดำริของท่านชีค โมฮัมเหม็ด ซึ่งเราจะเดินหน้าผลักดันการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ให้แล้วเสร็จทันงานมหกรรม Expo 2020"
ทั้งนี้ Emaar เลือกใช้เทคโนโลยีการสร้างตึกระฟ้ารูปแบบใหม่ซึ่งไม่เหมือนกับอาคารใดในโลก โดยได้มีการทดสอบการต้านทานแรงลมและแรงแผ่นดินไหวของโครงสร้างตึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ตัวอาคารยังได้รับการออกแบบตามมาตราฐานสากลระดับสูงสุด ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุ ไปจนถึงเทคโนโลยีการก่อสร้าง
สำหรับสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎของตึกแห่งนี้คือจุดชมวิว Pinnacle Room ซึ่งตั้งอยู่บนจุดสูงสุด อีกทั้งยังมีสวน VIP Obeservation Garden Decks โดยตัวตึกจะมีไฟส่องสว่างอยู่ตลอดเวลาเพื่อเสริมให้ตึกระฟ้าแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คที่สวยงามน่าทึ่งตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
ข่าวเด่น