ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้ได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงทางการเมืองของสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบ NYMEX ที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงขายเพื่อปิดความเสี่ยง ยกเว้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินขยับขึ้นเด่น นำโดย BANPU กดดันให้ SET INDEX หลุด 1,500 จุด ปิด ณ สิ้นวันที่ 1,498.65 จุด ลบ 5.87 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,339 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8 อีก 847 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures วันแรกในรอบ 3 วันทำการ 2,864 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ 2,463 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- ผลการประชุมเฟดคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด
- ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด เดือนต.ค.
- ติดตามผลการประชุม BoE ค่ำวันนี้ ตลาดคาดคงนโยบายการเงินเช่นเดิม
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงแรงคืนวานนี้ ยกเว้นราคาทองคำล่วงหน้า COMEX ปิดทะลุ US$1,300/ounce
- Poll Bloomberg ล่าสุดนาง Clinton นำนาย Trump เพียง 1.7 จุด
- ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันวัฒนธรรม
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 28)
เราประเมิน SET INDEX กลับมาแกว่งแคบอีกครั้งระหว่าง 1,490-1,500 จุด มูลค่าการซื้อขายกลับมาต่ำกว่า 5.0 หมื่นล้านบาท/วัน แม้ว่าผลการประชุมเฟดคืนวานนี้จะคงนโยบายการเงินตามที่ตลาดคาด แต่ความเสี่ยงในสหรัฐฯ กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ วันที่ 8 พ.ย.นี้ ล่าสุดคะแนนของนาย Trump ตีตื้นเข้ามาใกล้นาง Clinton มากขึ้นทุกขณะ ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงนโยบายการเงิน การคลัง และต่างประเทศ ตามนโยบายของนาย Trump ที่ค่อนข้าง Aggressive และตรงกันข้ามกับนาง Clinton เป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน และ ถ่านหินล่วงหน้า ปรับตัวลงแรง แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ก็ตาม แต่ด้วยนโยบายพลังงานของนาย Trump ที่ต้องการเปิดเสรีอุตฯ พลังงาน ทำให้เกิดความกังวลต่อปริมาณอุปทานน้ำมันดิบ และถ่านหินของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น สร้างแรงกดดันต่อภาวะอุปทานส่วนเกิน
กลยุทธ์การลงทุน เราคงแนะนำให้นักลงทุน “ขายทำกำไรและถือเงินสด” ต่อเนื่อง เพื่อรอจังหวะของการเข้าสะสมหุ้นหลัก หาก SET INDEX เกิดการปรับฐานลงแรงจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า การเก็งกำไรช่วงสั้น ควรเน้นหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว
Strategy of the Day
1. สะสม TMB : ราคาปิด 2.12 บาท ราคาเหมาะสม 2.50 บาท
a) MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อ TMB และคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q59 จะปรับตัวขึ้น qoq จาก Credit Cost ที่ลดลง และการเพิ่มขึ้นของ NPL ใหม่เริ่มชะลอตัวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
b) ผู้บริหารตั้งเป้า Credit Cost ปี 2560 จะไม่สูงกว่าปี 2559 ที่ระดับ 1.5% เป็นสัญญาณบวกว่า NPL กำลังจะผ่านจุดสูงสุดในปี 2559 และมีทิศทางลดลงในปี 2560
c) คาดกำไรสุทธิปี 2560 เติบโต +23.9% yoy เป็น 1.04 หมื่นล้านบาท และมี Downside Risk จำกัดที่บริเวณ 2.00 บาท เนื่องจากซื้อขายที่ระดับ PBV2560 เพียง 1.0 เท่า เป็นระดับ -2SD รวมทั้งราคาหุ้น Underperform กลุ่มธนาคารมากในปี 2559 โดย YTD ราคาหุ้น TMB -12.4% สวนทางกลุ่มธนาคารที่ +13.2%
2. เก็งกำไร VNT : ราคาปิด 10.60 บาท เป้าหมายทางเทคนิค 12.00 บาท
a) ราคาหุ้นมีปัจจัยบวก จาก Spread ปิโตรเคมี PVC– 0.5Ethylene ปรับตัวขึ้น +1.2% wow เป็น US$433/ตัน ทำระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และ QTD ใน 4Q59 เพิ่มขึ้นถึง +51% yoy และ +43% qoq
b) Valuation ถูก ซื้อขายที่ PBV2560 เพียง 0.8 เท่า จึงมี Downside Risk ที่จำกัด และเชื่อว่าหากส่วนต่างราคา PVC ยืนเหนือระดับ US$400/ตันได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลบวก และเป็น Upside Risk อย่างมีนัยสำคัญต่อประมาณการกำไรปี 2560
c) ทางเทคนิค หากปรับตัวทะลุผ่านแนวต้านรายเดือนที่ 10.60 บาท จะมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 12.00 บาท +/-
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ขายสุทธิเป็นวันที่ 7 อีก US$264 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$35 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8
นักลงทุนต่างชาติ ยังคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8 ลดลงเหลือ 847 ล้านบาท รวม 8 วันทำการขายสุทธิ 9,324 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิลดลงอีกเป็น 112,085 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index futures นั้นนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิอีกครั้ง 2,864 สัญญา คาดว่าจะเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Short อีกครั้ง กดให้ S50Z16 กลับมาปิดต่ำกว่า SET50 Index อีกครั้ง 1.35 จุด จากวันก่อนหน้า Premium เท่ากับ 1.94 จุด ส่งผลให้ QTD ใน 4Q59 นักลงทุนกลุ่มนี้มีสถานะ Short สุทธิขยับขึ้นเป็น 4,719 สัญญา
แต่นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นวันที่ 2 ลดลงเหลือ 2,463 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 20,525 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยฟื้นตัวเป็นวันที่ 3 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ลดลงอีกเล็กน้อย 0.12bps จากวันก่อนหน้าลดลง 0.34bps ปิดที่ 2.144%
Short-Selling วานนี้
เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 921 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 883 ล้านบาท ด้วยจำนวนหุ้น 56 หลักทรัพย์ จากวันก่อนหน้า 64 หลักทรัพย์
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 เน้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้คงการซื้อสุทธิอีก 676 ล้านบาท ลดลงจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 824 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 2,528 ล้านบาท โดยคงเน้นซื้อสุทธิกลุ่มพลังงานสูงสุด 500 ล้านบาท กลุ่มธนาคาร 354 ล้านบาท แต่ขายทำกำไรกลุ่มรับเหมาก่อสร้างต่อเนื่องอีก 106 ล้านบาท และกลุ่ม ICT ขายสุทธิ 103 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด:
เฟดยืนยันที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่การตัดสินใจต้องการรอดูข้อมูลเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อว่าจะเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงที่ที่ 0.25-0.50% เป็นครั้งที่ 7 ด้วยเสียง 8-2
การจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค.ออกมาต่ำกว่าคาด: เพิ่มขึ้นเพียง 1.47 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 1.65 แสนตำแหน่ง และเดือนก่อนหน้า 2.02 แสนตำแหน่ง
ยุโรป
ราคาบ้านในอังกฤษเริ่มชะลอตัวครั้งแรกในรอบ 16 เดือน: ราคาบ้านเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 4.6% yoy ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 5.3% yoy และกรณี Brexit คาดว่าราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.6% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.9%
อิตาลีปฎิเสธข่าวที่การลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญจะล่าช้า: รัฐบาลอิตาลียังไม่มีแนวคิดที่จะเลื่อนการลงประชามติที่กำหนดไว้วันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องการลดบทบาทของวุฒิสภา และลดอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่นลง
จีน
ที่ปรึกษารัฐบาลจีนเริ่มหารือถึงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2560: รัฐบาลยังคงยืนยันเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปีต่อปีจนถึงปี 2563 ที่ 6.5% เป็นอย่างสน้อย ทำให้รายได้ต่อประชากรเพิ่มขึ้น 1 เท่าจาก ณ สิ้นปี 2553 แต่ที่ปรึกษาหลายคนแนะนำให้รัฐบาลเปลี่ยนคำพูดเป็น “เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2560 ที่ราว 6.5%” เพื่อเปิดโอกาสให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเล็กน้อยในปีหน้า เพราะการคงเป้าหมายการเติบโตดังกล่าวจะมาพร้อมกับต้นทุนของรัฐบาลในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ตามมา ซึ่งจะสร้างภาระหนี้และความเสี่ยงในตลาดอสังหาฯ
เอเชียแปซิฟิก
ไม่มี
ไทย
บอร์ดดีอี เปิดแผนดิจิทัล 5 ปี: คณะกรรมการ การเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้เห็นลงมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ ตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ.2560-2564) เป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนปฏิบัติการ กำหนดไว้ 4 เป้าหมาย คือ 1.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาสูงสุด 25 อันดับแรก และมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้นเป็น 35 อันดับแรก 2 คือ การสร้างโอกาสและความเท่าเทียมทางสังคม เข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไม่น้อยกว่า 93% ลำดับที่ 3 คือ มีการพัฒนาทุนมนุษย์สู่ยุคดิจิทัล และ 4.มีการปฏิรูปภาครัฐ เพื่อทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์และไทยแลนด์ 4.0 ได้
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 3 พ.ย. 2559
ข่าวเด่น