บล.เอเชีย เวลท์ คาดสัปดาห์นี้ ต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก คาดตลาดยังคงผันผวน โดย SET Index น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,483-1,513 จุด พร้อมแนะนำซื้อ SCB ราคาเป้าหมาย 185.00 บาท
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า คาดตลาดหุ้นยังคงผันผวน โดยช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น เนื่องจาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการรวมทั้งตลาดอัตราแลกเปลี่ยนด้วย แต่ในสัปดาห์นี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะแข็งค่าต่อ จากนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นไป และจะกดดันตลาดเรื่องเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเอเชีย
นอกจากนี้ ในวันที่ 30 พ.ย. ติดตามผลการประชุม OPEC ว่าจะมีการลดการผลิตน้ำมันด้วยการจัดสรรโควต้าการผลิตที่ลดลงหรือไม่ เพราะล่าสุดซาอุดิอาระเบียออกมาบอกว่า ตลาดน้ำมันในปี 2017 ราคาจะเข้าสู่จุดสมดุลเองโดยที่ OPEC ไม่ต้องเข้ามาแทรกแซง สะท้อนมุมมองว่าหลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ดีขึ้นและจะพาให้เศรษฐกิจโลกตลอดจนอุปสงค์น้ำมันฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ การลงประชามติของอิตาลีในวันอาทิตย์ที่ 4 ธ.ค. 59 เกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ตลาดหุ้นจะผันผวนตามผลโพลล์ต่าง ๆ ที่จะออกมาช่วงนี้ ซึ่งตรงนี้สำคัญเพราะหากการลงประชามติไม่ผ่านอาจส่งผลให้นายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี ต้องลงจากตำแหน่ง ส่งผลให้แผนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและธนาคาร ของอิตาลีจะต้องเลื่อนออกไป แล้วยังอาจส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ ในยุโรปในทางการเมืองที่ฝ่ายประชานิยมมีแนวโน้มที่จะได้รับชัยชนะคล้ายเหตุการณ์ Brexit โดยที่จะมีการเลือกตั้งในหลายประเทศในยุโรปในปีหน้าอันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของ EU หรือสหภาพยุโรป หากการเลือกตั้งในเยอรมัน นายกรัฐมนตรี อังเกลา เมอร์เคล ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ทั้งนี้ สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ คาดการณ์กรอบ SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,483-1,513 จุด
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อหุ้น SCB ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บล.เอเชีย เวลท์ เลือกหุ้น SCB เนื่องจาก ในสภาวะตลาดโลกที่มีการคาดคะเนถึงสภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามการชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และต่อไปทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในขาขึ้น แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น แต่คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นในปลายปีนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์เชิงบวกกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประกอบกับการที่รัฐบาลของไทยมีการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟรางคู่ 5 สาย และโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง
สำหรับ SCB เราคาดว่าธนาคารน่าจะมีความกดดันน้อยลงในการตั้งสำรองหนี้สูญในไตรมาส 4/59 และในปีหน้า หนึ่งในสาเหตุหลัก คือ ธนาคารได้มีการตั้งสำรองพิเศษไปแล้วในช่วง 9 เดือนแรกของปี อีกสาเหตุหนึ่ง คือ ปัจจัยบวกจากแผนฟื้นฟูกิจการของ SSI ซึ่งหาก SSI ประกาศแผนฟื้นฟูกิจการ สินเชื่อของ SSI ประเทศไทยจะสามารถจัดอยู่ในกลุ่มสินเชื่อปกติได้ ส่งผลให้ภาระการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารลดลงและระดับอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) จะเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งการตั้งสำรองที่ลดลงนี้น่าจะช่วยผลักดันกำไรของธนาคารให้เติบโตได้มากขึ้น นอกจากนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของ SCB ยังถือว่าแข็งแกร่งพอควรเนื่องจากอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ในไตรมาส 3/59 อยู่ในระดับต่ำสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ ในขณะที่ Coverage ratio สูงเป็นอันดับสองรองจาก BBL
นอกจากนั้นแล้ว สินเชื่อของ SCB ในช่วง 9 เดือนแรกเติบโตถึง 4.3% YTD เทียบกับเป้าทั้งปีของธนาคารที่ 4-6% เราคาดว่าสินเชื่อของธนาคารจะเติบโต 6.0% ในปี 60 หนุนโดยการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากการลงทุนของภาครัฐ ถึงแม้ว่าเราประมาณการว่ากำไรจะโตเพียงแค่ 1.4% ในปีนี้ แต่เราคาดว่ากำไรในปีหน้าจะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 9.0% YoY อีกทั้ง
"SCB ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจที่ 4.2% ในปี 60 และราคาหุ้นยังคงถูก ด้วย P/E ratio ปี 59 อยู่ที่ 10 เท่า ปี 60 อยู่ที่ 9 เท่า และ PBV ปี 59 ที่ 1.4 เท่า และ ปี 60 ลดลงเหลือ 1.3 เท่า ด้าน Technical รูปแบบราคามีความแข็งแกร่งในระยะสั้นและยาว จากสัญญาณซื้อรายวัน และรายเดือน รอสัญญาณซื้อรายสัปดาห์ หากสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 151 บาท ทั้งนี้ ราคาเป้าหมายตลอดทั้งปี 2017 อยู่ที่ 185.00 บาท" นายวรุตม์ กล่าว
ข่าวเด่น