แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ ( 13 - 17 มี.ค. 60) ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดจะทรงตัว หลังได้รับแรงหนุนจากข่าวการประชุมระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก และตัวเลขปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกในเดือนก.พ. ที่มีแนวโน้มปรับลดลง นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากกำลังการผลิตของลิเบียที่มีแนวโน้มปรับลดลง หลังเกิดเหตุความไม่สงบภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อท่าขนส่งน้ำมันดิบ Es Sider และ Ras Lanuf อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จากการที่โรงกลั่นปิดซ่อมบำรุงตามฤดูกาล และ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้: จับตาการประชุมในวันที่ 17 มี.ค. นี้ เพื่อติดตามผลการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก รวมถึงติดตามตัวเลขปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่ากลุ่มโอเปกจะสามารถปรับลดกำลังการผลิตในเดือนก.พ. ได้มากกว่าในเดือนม.ค. หลังรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของคูเวต เผยว่าผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกได้ปรับลดกำลังการผลิตลงราว 140% ของข้อตกลงที่จะปรับลดราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากกว่าที่กลุ่มโอเปกได้ปรับลดในเดือนม.ค. ที่ 93% ของข้อตกลง นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิรักยังเผยว่า อิรักได้ปรับลดปริมาณการผลิตถึง 85% ของข้อตกลง ซึ่งมากกว่าที่ปรับลดได้ในเดือนม.ค. เช่นกัน จับตาการปรับลดกำลังการผลิตของรัสเซีย หลังรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซีย เผยว่ารัสเซียสามารถปรับลดกำลังการผลิตได้ราว 50% ของข้อตกลง หรือราว 150,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะปรับลดการผลิตลงราว 200,000 บาร์เรลต่อวันภายในเดือนมี.ค. และปรับลดได้ตามข้อตกลง หรือ 300,000 บาร์เรลต่อวันภายในเดือนเม.ย. ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียมีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากมีการสู้กันระหว่างกลุ่ม Benghazi Defence Brigades (BDB) และกลุ่ม Libyan National Army (LNA) เพื่อแย่งชิงการควบคุมพื้นที่ในฝั่งตะวันออก ซึ่งส่งผลกระทบต่อท่าขนส่งน้ำมัน Es Sider และ Ras Lanuf โดยล่าสุด ปริมาณการผลิตของลิเบียปรับลดลงมาอยู่ที่ 663,000 บาร์เรลต่อวัน จากระดับก่อนหน้าที่ 700,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบริษัทน้ำมัน Waha Oil ได้ปรับลดปริมาณการผลิตลงราว 35,000 บาร์เรลต่อวัน ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดจะยังคงสูงต่อเนื่อง จากโรงกลั่นในประเทศยังคงอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุง และปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 3 มี.ค. 60 ปรับเพิ่มขึ้น 8.2 ล้านบาร์เรล มาสู่ระดับ 528.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ลงทุนขุดเจาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) มากขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน และล่าสุด Baker Hughes รายงานปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 8 แท่น มาอยู่ที่ 617 แท่น ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน กย.58 ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน ดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภคสหรัฐฯ ยอดค้าปลีกจีน และอัตราการว่างงานสหรัฐฯ สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (6 มี.ค. – 10 มี.ค. 60) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 4.84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 48.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 4.53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 51.37 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 9 สัปดาห์ติดต่อกัน หลังความต้องการใช้น้ำมันดิบปรับลดลงในช่วงการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่น และการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงกดดันจากข่าวการปรับลดกำลังการผลิตของรัสเซีย ผู้ผลิตรายใหญ่นอกกลุ่มโอเปก ที่คาดว่าในเดือน ก.พ. ปริมาณการผลิตจะทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 11.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงหนุนจากความพยายามของกลุ่มโอเปกในการปรับลดกำลังการผลิตลงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในลิเบียที่ส่งผลให้ปริมาณการผลิตลดลง
ข่าวเด่น