“เน้นซื้อ/ถือต่อด้วยค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ILINK PRIN (จากถือเป็นซื้อ), LPN (จาก Fully Valued เป็นถือ), KCE (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index ยังคงผันผวนไปตามการซื้อขายอิงผลประกอบการ 1Q60 และแนวโน้ม (ตลาดอยู่ใน Earnings Season) ด้าน Flow ของต่างชาติยังไม่นิ่งแต่ดูดีขึ้นเล็กๆ หลังวานนี้ซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาท การเล่นรอบ & ลงทุนคงต้องระมัดระวัง เพราะดัชนีลงมาทดสอบ 1550+/- อีกรอบ ทำให้มีโอกาสจะอ่อนไปยัง 1530+/-
+ ราคาน้ำมันขยับขึ้นต่อ หลังอิรักและอัลจีเรียออกมาหนุนกลุ่มประเทศผู้ผลิตขยายเวลาการ Cut Production ซึ่งกลุ่มฯจะมีประชุม 25 พ.ค.นี้
• กลุ่มสถาบันการเงินไทย จะมีมาตรการลดวงเงินกู้รายย่อยคุมถือบัตรเครดิต โดยธปท. จะมีการชี้แจง 17 พ.ค.นี้ ซึ่งอาจมีการปรับลดวงเงินให้กู้รายย่อย ควบคุมการถือบัตรเครดิต ฯลฯ เพื่อลดปัญหาหนี้สินครัวเรือนไทยที่สูงมาก และลดความเสี่ยงเรื่อง NPL ด้วย
+ BEAUTY : กำไร 1Q60 ออกมาดีเกินคาด โดย +54.5%YoY, +12.3%QoQ จากยอดขาย +30%YoY เพราะ SSSG +14.4%YoY และเปิดสาขาในปท.เพิ่ม 16 แห่ง ใน CLMV เพิ่ม 8 แห่ง บริหาร SG&A ได้ดี ทำให้ EBIT Margin เพิ่มจาก 30.8% เป็น 36.6% แนะซื้อ TP 14 บาท
• ANAN : กำไร 1Q60 ออกมา 140 ล้านบาท -6%YoY ดูไม่ตื่นเต้นนัก แต่กำไรจะเข้ามามากขึ้นในช่วงที่เหลือปีนี้ และคาดว่าทั้งปีจะเติบโต 43% ดังนั้นการอ่อนตัวของราคาหุ้นช่วงนี้เป็นจังหวะซื้อสะสม ให้ TP 5.50 บาท อิง P/E ปีนี้ที่ 9 เท่า และคาด Dividend Yield ปีนี้ 3.8%
หุ้นกลยุทธ์ (พื้นฐานดี) แนะนำทยอยซื้อสะสมวันนี้เป็น ERW
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ ลบต่อดูไม่ดี ดังนั้นการซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวกเป็นสำคัญ รับ 1540-1530 กรณีรีบาวด์มีแนวต้าน 1560, 1570-1575
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ DELTA, TISCO, BEC ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SCCC, TCAP หุ้นแนะนำไปและให้หาจังหวะ Take Profit –ไม่มี- หุ้นหลุด List ได้แก่ JMT, GFPT, SMT, SELIC, SPA
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีอ่อนลงเพราะผิดหวังผลประกอบการ
ดัชนี DJIA ปิดที่ 20,919.42 จุด ลดลง 23.69 จุด หรือ -0.11% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,394.44 จุด ลดลง 5.19 จุด หรือ -0.22% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,115.96 จุด ลดลง 13.18 จุด หรือ -0.22% เนื่องจากผิดหวังผลประกอบการในกลุ่มค้าปลีกทั้งเมซีย์ และสเนป รวมทั้งโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่มีมากขึ้นก็กดดันร่วมด้วย
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อ...อิรักและอัลจีเรียหนุนขยายเวลาลดปริมาณผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 47.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 50.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุนต่อนอกจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงถึง 5.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อน คือ อิรักและอัลจีเรียแถลงการณ์ร่วมกันว่าจะหนุนการขยายเวลาลดปริมาณการผลิต น้ำมันในการประชุม 25 พ.ค.นี้
+ สัญญาทองคำ : ปิดบวก 0.4%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 5.3 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 1,224.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หนุนโดยความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐที่เพิ่มขึ้นหลังทรัมป์สั่งปลดผอ. FBI
ปัจจัยในประเทศ :
• กลุ่มสถาบันการเงิน : จะมีมาตรการลดวงเงินกู้รายย่อยคุมถือบัตรเครดิต (ชี้แจง 17 พ.ค.นี้)
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าในวันที่ 17 พ.ค.นี้ ธปท. สมาคมธนาคารไทย และสถาบันการเงิน จะร่วมกันแถลงออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนอย่างครบวงจร โดยอาจมีการปรับลดวงเงินให้กู้ยืม และควบคุมการถือบัตรเครดิตของรายย่อย เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและชำระคืนหนี้
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : คลังจี้แบงก์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ SME
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ลดความเหลื่อมล้ำ โดยขอให้ธนาคารพาณิชย์ทบทวนการคิดดอกเบี้ยกับผู้ประกอบการ SME ที่สูงกว่ารายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่คิดดอกเบี้ย 1-2% แต่คิดดอกเบี้ยรายย่อยและ SME 7-8% ซึ่งเกิดส่วนต่าง 5-6% ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีต้นทุนทางการเงินสูงกว่าเกิดความไม่เท่าเทียมกัน
ข่าวเด่น