“ซื้อค่าบวก/ถือเหนือ 1580”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : DELTA (จาก Fully Valued ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้อ่อนลง 3.82 จุดปิดที่ 1582.63 สภาพการซื้อขายคล้ายๆ วันก่อน คือ เลือกซื้อขายเป็นรายตัว ต่างชาติซื้อสุทธิต่อ 963 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อเล็กน้อย 240 ล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
# ปัจจัยต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +143.9 จุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหุ้นกลุ่มการเงินปรับขึ้นหลัง Bond yield 10 ปีสหรัฐเพิ่มขึ้น และคาดว่าผล Stress test (เรื่องการจ่ายปันผล, ซื้อคืนหุ้น และทำธุรกรรมที่สำคัญในด้านอื่นๆได้หรือไม่) ธนาคารใหญ่ 34 แห่งที่ทดสอบไปสัปดาห์ก่อนจะออกมาดี ราคาน้ำมันดิบบวกต่อ 1% เป็น 45-47 US$/bbl รับข่าวสหรัฐผลิตน้ำมันลดลง 1 แสนบาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้ว ติดตามผลประชุม 5 ชาติผู้ตรวจสอบการปฎิบัติตามข้อตกลงลดการผลิตของกลุ่มโอเปก 24 ก.ค. อาจมีมาตรการกระตุ้นราคาน้ำมันเพิ่มเติม
# ปัจจัยในประเทศ : เงินบาทอ่อนเพราะคาดว่าทางการเข้าดูแลไม่ให้บาทผันผวนมาก การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มดีขึ้นใน 2H60 เป็นบวกกับกลุ่มก่อสร้าง&วัสดุก่อสร้าง (หุ้นเด่น CK, STEC, SCC, TMT) และธนาคาร (หุ้นเด่น KBANK, KKP, TISCO)
+ AOT : สรุปเรื่องค่าเช่ากับกรมธนารักษ์และค่าปรับแล้ว ผลคือค่าเช่าส่วนเพิ่มน้อยกว่าที่ DBSV ประเมินไว้ 30-40% ค่าปรับที่ต้องบันทึกเป็นส่วนหักใน Equity ก็น้อยกว่าคาดเช่นกัน ทาง DBSV กำลังปรับปรุงประมาณการกำไร ส่วนราคาพื้นฐานคาดว่าจะปรับขึ้นเพราะเลื่อนไปอิงกับกำไรปีหน้า เบื้องต้นคาดว่าจะเป็น 53-55 บาท (ปัจจุบัน 45.50 บาท) ลงทุนยาวถือต่อได้ เล่นสั้นอาจต้องระวัง Sell on fact
+ WHAUP : ประชุมขอแตกพาร์เป็น 1 บาท 30 มิ.ย. คาดกำไรปี 60-61 โตแกร่งมาจากโรงไฟฟ้า แนะซื้อ TP 36.25 บาท (Consensus)
+ COM7 : มองการเข้าซื้อ BAF (เช่าซื้อรถจักรยานยนต์) 30% เป็นเรื่องดี เพราะเป็นบ.ที่มีกำไร (ปีก่อนกำไร 79 ลบ.) เมื่อเทียบกับเงินลงทุน 268 ลบ.แล้วคิดเป็นระยะคืนทุน 10 ปีหรือ Return ราว 10% ต่อปี (ยังไม่คิดการเติบโตของธุรกิจ) และใช้เงินกู้ในการลงทุนทั้งหมดขณะเดียวกันมองว่า BAF น่าจะช่วยต่อยอดธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อคอมพิวเตอร์ SME และลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆได้ แนะนำซื้อ ให้ TP 13.50 บาท
- DELTA : ศาลฎีกาตัดสินให้บริษัทจ่ายภาษีย้อนหลัง 734 ล้านบาท (รวมค่าปรับ) ใน 2Q60 ซึ่งบริษัทมีเงินจ่าย (สิ้นมี.ค.60 มีเงินสดในมือ 1.9 หมื่นล้านบาท) ซึ่งคิดเป็น 0.59 บาท/หุ้น หรือ 12% ของ EPS ทั้งปี 60 ยังคงแนะนำ Fully Valued ให้ TP 87 บาท
กลยุทธ์การลงทุน : Selective Buy & Re-balancing เป็นระยะ หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น WHAUP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ เน้นซื้อเมื่อ SET เหนือ 1580 ต่ำกว่าควร Wait & See แนวต้าน 1590-1600 สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น STEC, JMART, BCP, RCL, BEM หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PSL, ECL, STAR, SRICHA, AU, M, WIIK หุ้นที่หลุด List เป็น AMATA, CKP และหุ้นที่ให้หาจังหวะ Take Profit –ไม่มี-
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• สหรัฐ : ติดตามผล Stress test ธ.พ.ใหญ่สหรัฐ 34 แห่งหลังทดสอบไปสัปดาห์ก่อน
เฟดจะเปิดเผยรายงานการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 34 แห่งของสหรัฐว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผล, ซื้อคืนหุ้น และทำธุรกรรมที่สำคัญในด้านอื่นๆได้หรือไม่ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
• สหรัฐ : ดัชนีทำสัญญาขายบ้านพ.ค.อ่อนลง MoM
ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) -0.8%MoM และ -1.7%YoY ในเดือนพ.ค.โดยปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน เพราะได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่เพิ่มขึ้น และสต็อกบ้านในระดับต่ำแต่ก็ยังไม่น่ากังวล
+ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 143.95 จุดจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี
ดัชนี DJIA พุ่ง 143.95 จุด หรือ +0.68% ดัชนี S&P500 เพิ่ม 21.31 จุด หรือ +0.88% ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 87.79 จุด หรือ +1.43% หนุนโดยหุ้นกลุ่มการเงินจาก Bond Yield 10 ปีสหรัฐปรับขึ้น และกลุ่มเทคโนโลยี
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นต่อ
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 1.1%, ปิดที่ 44.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 47.31 ดอลลาร์/บาร์เรล โดย EIA รายงานว่าการผลิตน้ำมันสหรัฐลดลง 100,000 บาร์เรล/วัน เป็น 9.25 ล้านบาร์เรล/วัน ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มิ.ย.60 ด้านสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มเล็กน้อย 1.18 แสนบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 2.6 ล้านบาร์เรล
# รัฐมนตรีน้ำมันจาก 5 ชาติของโอเปกซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตจะ ประชุมร่วมกันที่รัสเซียในวันที่ 24 ก.ค.60 โดยที่ประชุมอาจมีการเสนอมาตรการกระตุ้นราคาเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ ประชุมโอเปกเต็มคณะในเดือนพ.ย.60
• สัญญาทองคำ : ปรับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 2.2 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ระดับ 1,249.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
• AOT สรุปจ่ายค่าเช่าที่ดินเชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิกับธนารักษ์ เริ่มต.ค.60 เป็นต้นไป
# ผู้บริหาร AOT กล่าวว่าบริษัทได้ข้อสรุปเรื่องค่าเช่าที่ราชพัสดุกับกรมธนารักษ์แล้ว โดยพื้นที่เชิงพาณิชย์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเก็บจากส่วนแบ่งรายได้ 5% ซึ่งเป็นอัตราเดิม ส่วนที่คิดเพิ่ม คือ จากผลตอบแทนสินทรัพย์ (ROA) ในอัตรา 3% ของมูลค่าที่ดิน อาทิ ร้านค้าดิวตี้ฟรี โรงแรม เป็นต้น ซึ่ง AOT จะผลักภาระส่วนต่างกับผู้ประกอบการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับที่ดินเปล่าที่รอการพัฒนาราว 600-700 ไร่จะเก็บ ROA ในอัตรา 2% แต่เมื่อก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จจะจัดเก็บในอัตรา 3% ส่วนเขตปลอดภาษีในสนามบิน (Free Trade Zone) 420 ไร่จะจัดเก็บในอัตรา 1% ของกำไรสุทธิของงานบริหารพื้นที่เพราะเป็นพื้นที่ช่วยเหลือผู้ส่งออก โดย การจัดเก็บแบบใหม่จะเริ่มมีผลใช้ตั้งแต่งวดปี 61 ( ต.ค.60-ก.ย.61) ทั้งนี้สัญญาเช่าที่ราชพัสดุจะหมดในปี 2564
# สำหรับค่าเช่าที่จะเก็บย้อนหลังในช่วงปี 55-60 นั้นกรมธนารักษ์จะไม่คิดค่าตอบแทนแบบ ROA แต่ให้คิดส่วนต่างจากอัตราเงินเฟ้อของแต่ละปีของจำนวนเงินที่ AOT ได้จ่ายค่าเช่าที่แบบส่วนแบ่งรายได้ 5% ไปแล้ว โดยคาดว่าในส่วนนี้มีจำนวนไม่มาก
# ความเห็น DBSV Retail Research : อัตราค่าเช่าที่ต้องจ่ายให้กับกรมธนารักษ์ถือว่าไม่ได้สูงมาก (ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์เราประเมินไว้ประมาณ 30-40% ต่อปี และบริษัทยังสามารถผลักภาระส่วนหนึ่งไปยังผู้ประกอบการในสนามบินได้ด้วย ดังนั้นผลกระทบต่อประมาณการกำไรจะไม่รุนแรง สำหรับค่าเช่าเก็บย้อนหลังที่ต้องบันทึกเป็นส่วนหักใน Equity ก็น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักวิเคราะห์ DBSV อยู่ระหว่างปรับประมาณการกำไรสุทธิ ส่วนราคาพื้นฐานคาดว่าจะขยับขึ้นได้จากการที่เลื่อนไปอิงกับผลประกอบการปี หน้าอย่างไรก็ตาม ได้มีการซื้อเก็งกำไรหุ้น AOT กันก่อนหน้ามาแล้ว ดังนั้นในระยะสั้นมากจึงอาจมีแกว่งจาก Sell on fact ส่วนผู้ลงทุนยาวก็ยังสามารถถือต่อได้ ประเมินในเบื้องต้นคาดว่าราคาพื้นฐานใหม่น่าจะอยู่ที่ 53-55 บาท (ปัจจุบันให้ไว้ที่ 45.50 บาท)
ข่าวเด่น