• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้กลุ่มแบงค์ สื่อสาร นำตลาด ปิดตลาด SET Index +5.69 จุดที่ 1574.93 การซื้อขายคึกคักขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.7 พันลบ. รายย่อยขายสุทธิ 1.3 พันลบ. และต่างชาติขายสุทธิ 460 กว่าลบ.
ประเด็นสำคัญวันนี้ : ปัจจัยภายนอก – ตลาดหุ้นสหรัฐ & โภคภัณฑ์ขานรับถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาผู้แทนราษฎรที่ส่งสัญญาณว่าเฟด พร้อมชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยหากเงินเฟ้อยังต่ำมาก รวมทั้งมีการซื้อเก็งผลกำไร 2Q60 ที่ทยอยรายงานออกมาด้วย ซึ่งทำให้ Sentiment หุ้นภูมิภาคเอเชียดูดีในเช้าวันนี้ ส่วนราคาน้ำมัน WTI +1% เพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดถึง 7.6 ล้านบาร์เรล (จากที่คาดว่าจะลด 2.9 ล้านบาร์เรล) แต่ก็ขึ้นจำกัดด้วยว่าสหรัฐและกลุ่มโอเปกต่างผลิตน้ำมันเพิ่ม หุ้นพลังงานจึงปรับขึ้นค่อนข้างจำกัดด้วยเช่นกัน
ปัจจัยภายใน – KTB จัดชั้นหนี้ EARTH 1.2 หมื่นลบ.เป็น NPL และตั้งสำรองฯให้ครบทั้งก้อนภายใน 2Q60 ทำให้คาดว่าผลประกอบการจะอ่อนแอมาก เพราะหลักประกันเป็นหุ้นจึงไม่มีมูลค่า คาด KBANK จะจัดชั้นหนี้ EARTH 3.8 พันลบ.เป็น NPL ด้วยเช่นกัน และน่าจะตั้งสำรองสูงซึ่งก็ขึ้นกับว่าหลักประกันเป็นอะไร แต่กำไรก็อาจอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ เรามองว่ากรณี EARTH กระทบต่อบรรยากาศลงทุนกลุ่มแบงค์ในระยะสั้น สำหรับพอร์ต Trading หากมีหุ้นและกำไรอยู่แนะให้ขายทำกำไรไปก่อน การซื้อใหม่ Wait & See รอดูงบ 2Q60 และ Guidance ใหม่ของแต่ละธนาคารก่อนว่าจะเป็นอย่างไร (แต่เราก็ยังมองว่าแบงค์เล็กมีความเสี่ยงเรื่อง NPL & ตั้งสำรองฯน้อยกว่าแบงค์ใหญ่)
กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อและปรับพอร์ตเป็นระยะช่วงตลาด Sideways ส่วนหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TMT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวรับ 1560-1550 จุด แนวต้าน 1580-1590 จุด จุด Stop loss อยู่ที่ 1570 จุด สำหรับหุ้น SCAN ที่มีโอกาส New High เข้ามาใหม่เป็น TCAP, THANI, PTG, IHL, TMT หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ HTECH, ERW, TKS, SINGER หุ้นที่หลุด List เป็น PSH และหุ้นแนะนำไป & ให้หาจังหวะขายทำกำไร ได้แก่ TMB, GPSC, INTUCH
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ สหรัฐ : ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าพร้อมชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยหากเงินเฟ้อยังต่ำมาก
นางเยลเลนได้แถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงิน ประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ โดยกล่าวว่า เฟดพร้อมที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยและลดงบดุลอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นไปอย่างที่เฟดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี นางเยลเลนไม่ได้ระบุแน่ชัดถึงกำหนดเวลาที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้ง ที่ 3 ในปีนี้หลังจากที่ปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.
+ ยูโรโซน : การผลิตภาคอุตสาหกรรมพ.ค.ดีเกินคาด
สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนดีดตัวขึ้น 1.3%MoM และเพิ่ม 4.0%YoY ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.8%MoM และ 3.6%YoY
• อังกฤษ : ตัวแทนเจรจา Brexit ฝ่าย EU ตั้งเงื่อนไขสุดหินต่ออังกฤษก่อนหารือประเด็นข้อตกลงการค้า
นายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการถอนตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit) ได้ประกาศตั้งเงื่อนไขที่ยากลำบากสำหรับอังกฤษในการเจรจา Brexit ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอนาคตต่อไป เช่น อังกฤษต้องมีความคืบหน้ามากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นสิทธิพลเมืองของ EU และต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวนมากให้ EU ก่อนแยกทางกัน รวมทั้งประเด็นชายแดนกับไอร์แลนด์
ทางด้านโฆษกของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่าร่างกฎหมาย "Repeal Bill" ว่าด้วยกระบวนการถอดอำนาจทางกฎหมายของสหภาพยุโรป (EU) ออกจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ Brexit ในการประชุมรายสัปดาห์ของคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอังกฤษ
ถอดถอนอำนาจทางกฎหมายของ EU ออกจากอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ Brexit จะถูกเสนอต่อรัฐสภาในสัปดาห์นี้
+ ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : รับแถลงการณ์ของประธานเฟดต่อสภาผู้แทนราษฎร
ตลาดปรับขึ้นรับถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่าเฟดพร้อมที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และตลาดยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นราว 1% ด้วย ปิดตลาดดัชนี DJIA +123.07 จุด หรือ +0.57% ดัชนี S&P500 +17.72 จุด หรือ +0.73% ดัชนี Nasdaq +67.87 จุด หรือ +1.10%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI บวกขึ้น 1%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ หรือ +1% ปิดที่ 45.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ +0.5% ปิดที่ 47.74 ดอลลาร์/บาร์เรล หนุนโดยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 7.6 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด 7 ก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.9 ล้านบาร์เรล แต่ความกังวลเรื่องอุปทานสูงก็ยังคงมีอยู่เพราะ EIA ระบุว่าสหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่ม 59,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 9.4 ล้านบาร์เรล/วัน ในสัปดาห์ที่แล้ว ทางด้านกลุ่มโอเปกก็ผลิตน้ำมันเพิ่ม 393,500 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.6 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมิ.ย.เช่นกัน
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาทองขยับขึ้น 0.36%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 4.4 ดอลลาร์ หรือ 0.36% ปิดที่ระดับ 1,219.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : EARTH เป็น NPL กระทบผลประกอบการ 2Q60 แบงค์เจ้าหนี้ KTB, KBANK
# มีข่าวว่า KTB มีการปล่อยสินเชื่อให้ EARTH ทั้งหมด 1.2 หมื่นล้านบาท และจัดชั้นเป็น NPL หลังบริษัทผิดนัดชำระหนี้ โดยธนาคารจะตั้งสำรองกรณี EARTH ให้เสร็จใน 2Q60 ซึ่งต้องตั้งทั้งก้อนเพราะหลักประกันแทบไม่มีมูลค่าเนื่องจากเป็นหุ้น ซึ่งจะกระทบต่อผลการดำเนินงาน 2Q60 แน่นอน และทำให้คาดการณ์กำไร 2Q60 ที่เราประเมินไว้ที่ 7.8 พันล้านบาทนั้นสูงเกินไปมาก ด้าน NPL ratio ทาง KTB จะพยายามรักษาไว้ให้ไม่เกิน 4.8% ของสินเชื่อรวม จาก 4.28% ในสิ้นปี 59 ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำลดการลงทุนใน KTB ไปก่อน ซึ่งราคาหุ้นก็ปรับขึ้นมาที่ราคาเป้าหมายของเราที่ 19 บาทแล้วด้วย
# สำหรับ KBANK ซึ่งมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่าปล่อยกู้ให้ EARTH 3.8 พันล้านบาท คาดว่าจะจัดชั้นหนี้นี้เป็น NPL ด้วยเช่นกัน และธนาคารยังจะตั้งสำรองฯ สูงใน 2Q60 (แต่ยังไม่ทราบว่าเท่าไร เพราะขึ้นกับหลักประกันที่ EARTH ให้ไว้กับ KBANK ว่าเป็นหุ้นหรือเป็นสินทรัพย์ประเภทอื่น) อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ทำให้ประมาณการกำไร 2Q60 มี Downside risk และมีโอกาสต่ำกว่า 9.6 พันล้านบาทตามที่ทาง DBSV คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
# ในระยะสั้น Sentiment กลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจกระทบกระเทือน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เพราะกรณี NPL ของ EARTH เพราะทำให้ตลาดกังวลว่าจะมีกรณีอื่นอีกหรือไม่และเป็นของธนาคารไหนประกอบกับ ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาแรงในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ดังนั้นสำหรับการ Trading ตามรอบก็น่าจะขายทำกำไรออกไปก่อน ส่วนซื้อใหม่ให้ Wait & See ดูรายงานผลประกอบการ 2Q60 และ Guidance ใหม่ที่ธนาคารต่างๆ จะให้นั้นออกมาก่อน (อย่างไรก็ดี เราก็มองว่าแบงค์เล็กเสี่ยงเรื่อง NPL & ตั้งสำรองฯน้อยกว่าแบงค์ใหญ่)
TMT (ราคาปิด 15 บาท) : หนึ่งในหุ้นปันผลสูงที่ยังน่าสนใจลงทุน
# ประมาณการกำไร 2Q60 จะลดลงแรงจากฐานที่สูงกว่าปกติ ยอดขายใน 2Q60 เพิ่มแข็งแกร่ง 22%YoY และ 3%QoQ เป็นกว่า 1.7 แสนตัน ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น เพราะประสบความสำเร็จในการให้บริการแบบ Solotion ครบวงจร แต่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 3%YoY และ 6%QoQ เป็น 20 บาท/กก. โดยเป็นไปตามทิศทางราคาเหล็กในตลาดโลก อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยคาดไว้เท่ากับ 7.1% ลดลงจาก 16.7% ใน 2Q59 และจาก 12.2% ใน 1Q60 เนื่องจากราคาขายลดลงแต่มีต้นทุนวัตถุดิบ HRC ที่ราคาสูงข้ามมาในไตรมาสนี้ ประมาณการกำไรสุทธิ 2Q60 ไว้ที่ 97 ล้านบาท ลดลง 66%YoY และ 62%QoQ จากฐานกำไรที่สูงผิดปกติในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา (ซึ่งเป็นช่วงราคาเหล็กในประเทศปรับขึ้นแรงและเร็วทำให้มาร์จิ้นขึ้นไปสูง มาก)
# แนวโน้มยอดขาย 2H60 ยังไปได้ดี คาดการณ์ว่าใน 2H60 ยอดขายน่าจะอยู่ประมาณ 1.8 แสนตันต่อไตรมาสได้เนื่องจากโครงการลงทุนภาครัฐคืบหน้ามากขึ้น การลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมี ถังน้ำ ยังไปได้ดีขณะที่กลุ่มดีลเลอร์เริ่มกลับมาสะสมสต็อกตั้งแต่เดือนมิ.ย.
# อัตรากำไรขั้นต้น 2H60 จะฟื้นตัวเป็นประมาณ 8% ได้หลังจากวัตถุดิบต้นทุนสูงได้หมดไปใน 2Q60 และราคาเหล็กมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มอัตรากำไร 3Q-4Q60 จะดีกว่าใน 2Q60 และกำไรสุทธิก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
# แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 15.30 บาท อิงกับ P/E ปีนี้ที่ 11 เท่า โดยคาดการณ์เงินปันผลสำหรับปี 60 ไว้ที่ 1.1 บาท/หุ้น (สมมติฐาน Payout ratio 80% ของกำไรสุทธิ) ณ ราคาปัจจุบัน 15 บาท คิดเป็น Dividend yield 7.3% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – arparporns@th.dbsvickers.com
ข่าวเด่น