“เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index ปิดทรงตัวที่ 1576.45 แม้ว่ายังคงมีแรงขายหุ้นแบงค์ (ยกเว้น KKP ที่ +1.9%) และหุ้นที่ปรับขึ้นแรง แต่ก็มีแรงรับหุ้นที่ปรับตัวลงมากในกลุ่ม Commerce และอิเลคทรอนิกส์ สถาบันนำซื้อสุทธิ ต่างชาตินำขายสุทธิ
ประเด็นสำคัญวันนี้ : ปัจจัยภายนอก – อัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐออกมาเท่ากับเดือนก่อนที่ 1.5% ห่างจากเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2.0% พอควร ทำให้ตลาดเชื่อว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นบวกกับตลาดหุ้นและตลาดทองคำ ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซน 2Q60 โต 2.1%YoY ดีขึ้นจาก +1.9%YoY ใน 1Q60 ด้านราคาน้ำมันดิบ อ่อนลง 2% จากแรง Take profit อย่างที่เราประเมินไว้..ระวังการแกว่งของราคาหุ้นพลังงาน ติดตามผลประชุม BOE 3 ส.ค.นี้ ซึ่งตลาดมองว่าอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
ปัจจัยในประเทศ – เดือนส.ค.มีปัจจัยจับตา คือ รายงานกำไรงวด 2Q และปันผลระหว่างกาลบจ., สถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งศาลจะตัดสินคดีจำนำข้าว 25 ส.ค.นี้ โดยความกังวลการเมืองอาจทำให้ตลาดผันผวน/อ่อนตัวได้ แต่เรามองว่ารัฐบาลน่าจะบริหารจัดการให้อยู่ในความสงบโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ด้านน้ำท่วมภาคอีสานก็กระทบกำลังซื้อในช่วงสั้น แต่เมื่อคลี่คลายลงกลุ่มวัสดุก่อสร้างและยางมะตอยน่าจะมียอดขายที่ดีขึน (เพื่อการซ่อมแซม) ส่วนเงินเฟ้อไทย 7M60 ยังต่ำที่ 0.6% จึงคาดว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยระดับ 1.5% ไว้ตลอดปีนี้
สำหรับหุ้นแนะนำเดือนส.ค.60 ใน Wealth Perspective Equity คือ KBANK, GFPT, MINT, PTTGC, TISCO และ Dark Horse เป็น ORI
ส่วนหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานวันนี้เลือกเป็น GFPT
+ MINT : คาด 2Q60F จะมีกำไรโต 26%YoY หนุนโดยรายได้ธุรกิจโรงแรมที่ขยายตัวดี ธุรกิจอาหารมี GPM สูงขึ้นแม้ SSSG จะติดลบ แนวโน้ม 3Q-4Q60 ดีโดยคาดกำไรจะบวกต่อเนื่องทั้ง YoY & QoQ คาด Core profit ปี 60 และปีหน้า +23%/16% แนะซื้อ ให้ TP 46 บาท
+ GFPT : คาดกำไร 2Q60F จะโตแกร่ง 28%YoY,15%QoQ เป็น 488 ล้านบาท (ดีกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้า 12%) โดยคาด GPM เพิ่มจาก 15.3% ใน 1Q60 เป็น 16.85% ใน 2Q60F ยอดขาย +4%QoQ (+10%YoY) Eqiuty income อยู่ในเกณฑ์ดี แนะซื้อ ให้ TP 23 บาท
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก/หรือเมื่อเหนือ 1570 แนวรับ 1570-1560 แนวต้าน 1580,-1590 และ Stop loss เมื่อหลุด 1570 จุด สำหรับการ SCAN หุ้นที่คาดว่าราคาจะทำ New High ได้ พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น KKP, JMT, GPSC, BEAUTY, M หุ้นยังอยู่ใน List คือ JWD, TNR, EGCO, NETBAY, TCAP, ASAP หุ้นหลุด List เป็น SEAFCO, BTS, ORI ส่วนหุ้นแนะนำที่ให้หาจังหวะขายทำกำไรคือ BH, PTTGC, EA, GLOW, AAV
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ อังกฤษ : ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค.ดีเกินคาด
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของอังกฤษอยู่ที่ 55.1 ในเดือนก.ค. เพิ่มจาก 54.2 ในเดือนมิ.ย.และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดย PMI ภาคผลิตเพื่อส่งออกดีดขึ้นเป็น 58.2 สูงสุดนับตั้งแต่เม.ย.53
+ ยูโรโซน : GDP งวด 2Q60 เติบโต 0.6%QoQ และ 2.1%YoY
สำนักงานสถิติแห่งยุโรปหรือยูโรสแตท เปิดเผยจีดีพีงวดไตรมาส 2/60 (ประมาณการเบื้องต้น) ขยายตัว 0.6%QoQ และขยายตัว 2.1%YoY ซึ่งดีขึ้นจากงวด 1Q60 ที่โต 1.9%YoY
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีปรับขึ้นตอบรับผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
ดัชนี DJIA +72.80 จุด หรือ +0.33% ดัชนี S&P500 +6.05 จุด หรือ +0.24% และดัชนี Nasdaq +14.81 จุด หรือ +0.23% ปัจจัยหนุน คือ ผลประกอบการบจ.ที่แข็งแกร่ง และเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังขยายตัวดีในไตรมาส 2/60
• สหรัฐ : การใข้จ่ายภาคก่อสร้างมิ.ย.ลดลง, การบริโภคขยับขึ้น ดัชนีการผลิต ISM ก.ค.เหนือ 50 และดัชนีเงินเฟ้อ PCE อยู่ที่ 1.5% ในเดือนมิ.ย.
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าการใช้จ่ายภาคการก่อสร้างของสหรัฐ -1.3% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 1.21 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.59 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะ +0.4%
# การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ +0.1% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจาก +0.2% ในเดือนพ.ค.
# สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุผลสำรวจดัชนีภาคการผลิตของ ISM ว่าอยู่ที่ 56.3 ในเดือนก.ค.ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 56.5 เล็กน้อย
# ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน +0.1% ในเดือนมิ.ย. และ +1.5%YoY เท่ากับที่เพิ่มขึ้น 1.5%YoY ในเดือนพ.ค. ซึ่ง PCE อยู่ห่างจากระดับเงินเฟ้อเป้าหมายเฟดที่ 2.0% พอควร ดังนั้นตลาดจึงประเมินว่าเฟดยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาร่วงลงราว 2% จากแรงขายทำกำไรหลังรับข่าวบวกไปแล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 1.01 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 49.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 94 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 51.78 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาปรับขึ้นมา 6 วันต่อเนื่อง รวมทั้งมีรายงานผลสำรวจว่าในเดือนก.ค.กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันมากขึ้น 90,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับสูงสุดในปีนี้ นำโดยลิเบีย
ทั้งนี้ผลสำรวจนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมัน WTI จะมีค่าเฉลี่ยที่ 50.08 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ (จากเดิม 51.92 ดอลลาร์ที่คาดไว้ในเดือนมิ.ย.60) ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยที่ระดับ 52.45 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ (จากเดิม 53.96 ดอลลาร์)
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาปรับขึ้น 0.5%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 6 ดอลลาร์ หรือ 0.47% ปิดที่ระดับ 1,279.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดมองว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเพราะเงินเฟ้อยังต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐก็ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำด้วย
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
• ไทย : เงินเฟ้อ 7M60 ยังต่ำที่ 0.6%...คาดดอกเบี้ยในประเทศจะทรงตัวต่อเนื่องในปีนี้
# ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ในเดือนก.ค.60 อยู่ที่ 100.53 ซึ่ง +0.17%YoY แต่ -0.13%MoM โดยดัชนีฯหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลง แต่ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะพลังงานเพิ่มขึ้น สำหรับ CPI เฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.60) +0.60%YoY สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) อยู่ที่ 101.30 ซึ่ง +0.48%YoY และ +0.08%MoM ส่งผลให้ Core CPI เฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ +0.55%YoY
# สำหรับการลอยตัวราคาก๊าซ LPG ที่มีผลตั้งแต่ 1 ส.ค.60 ไม่กระทบเงินเฟ้อมากนัก โดยกรมการค้าภายในประเมินว่าถ้าราคา LPG เพิ่ม 1 บาท/กก. ราคาอาหารจานด่วนจะเพิ่มเพียงจานละ 5 สตางค์เท่านั้น แต่ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นบ้าง คือ ผลกระทบจากน้ำท่วมภาคอีสาน
# กระทรวงพาณิชย์คาดเงินเฟ้อปี 60 ไว้ที่ 0.7-1.7% ภายใต้สมมุติฐานว่าเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 3-4% ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอยู่ที่ 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 34-36 บาท/เหรียญสหรัฐ
• ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนก.ค.ทรงตัว...ธุรกิจขนส่งและโทรคมนาคมยังขยายตัวได้ดี
ธปท.เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนในเดือนก.ค.60 ทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 50.3 ทั้งนี้ดัชนีการลงทุนลดลงบ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ดัชนีการผลิตของกลุ่มยานยนต์ต่ำลงเพราะเร่งระบายสต็อกที่คงค้างจากการผลิตในช่วงก่อน ส่วนดัชนีที่ขยายตัวได้ดีเป็นดัชนีธุรกิจขนส่งและโทรคมนาคม สำหรับในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงประเมินว่าภาวะทางธุรกิจจะดีขึ้นจากปัจจุบัน สะท้อนจากดัชนีที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 54.6 ในเดือนก่อนมาอยู่ที่ 55.1 ในเดือนนี้
ข่าวเด่น