“Bottom Out Play”
CNS Daily Strategy : คาดตลาด “แกว่งขึ้น” ต้าน 1643/1647จุด รับ 1634/1630จุด ผลกระทบของพายุ Irma ที่ลดระดับความรุนแรงลงสู่ระดับ 1 เช้าวันนี้ สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯจำกัด หนุนดัชนี Dow jones จ่อทดสอบจุดสูงสุดใหม่ เป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ผสานสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดรายได้ครัวเรือนเกษตรจะฟื้นตัวปี 2560-61 3-5% เป็นปัจจัยบวกต่อ SET วันนี้ แนะนำ “Bottom Out Play” : *BDMS, NYT, PM*
Nomura : Key Factors
- (+)TH : งานสัมมนา Thailand 4.0 Symposium คาดหนุนนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย
- (+)Fund Flow: ล่าสุดขายหุ้น -377ลบ., Long Future +673สัญญา, ซื้อBond +17,097ลบ.
- (+) Ex Factor: เฮอริเคน Irma อ่อนแรงลงและไม่ได้สร้างความเสียหายเท่าที่คาด
- (-) OIL: ราคาน้ำมันดิบวานนี้ WTI +1.24% สู่ $48.07/bbl / BRT +0.11% สู่ $53.84/bbl
- (*) Opp Day : BCPG, SAT, PYLON, ANAN
- Nomura Daily Top Picks: KBANK, SCB, BDMS
Equity Daily Outlook : คาดดัชนีวันนี้ “Sideway-Sideway Up” ในกรอบแนวต้าน 1643/1647จุด แนวรับ 1634/1630จุด ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 1.19% สู่ระดับ 22,057.34จุด จ่อทำจุดสูงสุดใหม่ หลังจากพายุเฮอร์ริเคน Irma อ่อนแรงลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1 จากเดิมรับ 5 และไม่ได้สร้างความเสียหายต่อสหรัฐฯมากเท่ากับที่ตลาดประเมินไว้ในช่วงก่อนหน้า โดยผลกระทบอยู่ที่ $49 ล้านเหรียญ จากคาดไว้ที่ $200 ล้านเหรียญ เป็นปัจจัยหนุนเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงเอเชียวันนี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดว่ารายได้ภาคครัวเรือนเกษตร ในปี 2559/60 – ปี 2560/61 จะเพิ่มขึ้น 3-5% สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ภาคเกษตร ที่คาดว่าจะเติบโตระหว่าง 3-4% เป็นปัจจัยหนุนบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของการบริโภคและหุ้นค้าปลีกภายในประเทศ น่าจะหนุน SET ในระยะกลาง 1-2ไตรมาสถัดไป มีแนวโน้มของการแกว่งตัวขึ้น ตามภาพการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจภายใน ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามวันนี้ 1) ดร. สมคิด หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ นายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีการค้าญี่ปุ่น จะขึ้นปาฐกถา งาน Thailand 4.0 Symposium เพื่อแนะนำการลงทุนในไทยโดยเฉพาะ EEC และ 2) คณะกรรมการยางไทย เตรียมเผยแผนราคายาง 20 ปี
Asset allocation : หุ้น 70% ทองคำ 12.5% ตลาดบอนด์ 5% และเงินสด 12.5%
Daily Strategy : 6 Theme เด่น วันนี้ เน้น “Bottom Out Play” เป็นหลัก
1. เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากภายใน บวกต่อกลุ่ม ธนาคาร(KBANK, KTB, BBL, SCB, TMB) การลงทุน(CK, STEC, ITD) เน้น KBANK, BBL, SCB, CK
2. สศก. คาด Farm Income ในปี 2560-61 เพิ่ม 3-5% หนุน ROBINS, CPALL, BJC, HMPRO
3. CCI Play : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.ฟื้นสู่ 74.5 จาก 73.9 ผสานบัตรคนจนเริ่ม 1 ตค 2017 วงเงิน 4.19หมื่นล้านบาทต่อปี จากผู้รับบัตร 11.67ล้านคน หนุนค้าปลีก(CPALL, ROBINS, BJC, HMPRO, GLOBAL) เน้น ROBINS, BJC, HMPRO, JUBILE
4. วันนี้ Mid-Small Cap จะ Outperform จับตา: BLAND, BWG, KAMART, JUBILE, PM
5. Flavor Yield Play : ภาพที่ธนาคารกลางหสรัฐฯ และยุโรป กังวลเงินเฟ้อต่ำ หนุนกระแสการลงทุนในหุ้นปันผลสูง 2017F-18F 4.5-7.5% Big Cap ในกล่ม ICT (INTUCH, JAS) รองลงมาเป็น SIRI, PM, SNC(6-6.3%), NYT, BLAND
6. Oil Related & PetroChem Play คาดราคาน้ำมัน BRENT ขึ้นสู่ USD57-60/bbl หลังกำลังการผลิต US ลงต่ำลงมากสุดตั้งแต่สิ้นปี 2016 แนะนำสะสม PTTEP, PTTGC, PTT ส่วน PetroChem เน้น laggard IVL, IRPC
Fundamental & Tactical Daily Top Picks :
NYT (TP18F 7.65*): Support:5.45-5.35 Resistant:5.75/5.9
- Theme : Bottom Play
- Earning Outlook : คาดกำไร 2H17F ฟื้นตัวดีขึ้นเทียบ h-h จากยอดส่งออกรถยนต์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และใน 1Q18F เริ่มบันทึกรายได้จากพื้นที่เช่าบนท่าเรือ 1.2 แสนตร.ม. หนุนคาดกำไรสุทธิ18F เติบโต +17.4% y-y
- Valuation : ภาพรวมตลาดที่มี sentiment ดี หนุนความน่าสนใจใน Mid-small cap โดย NYT เป็นหุ้น Defensive ที่มีรายได้และกระแสเงินสดมั่นคง + ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมามากและเริ่มยืนได้อีกครั้ง มี Downside ต่ำ โดยซื้อขาย PER ปี 2018F เพียง 14.6x เท่าต่ำกว่ากลุ่มขนส่งฯ + Dividend yield 18F คาดจ่าย 0.35 บาท/หุ้นหรือสูงถึง 6.3%
- Catalyst : BOI อนุมัติให้ผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ เฟส 1 สามารถนำยอดรถยนต์ไฮบริด-รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (HEV) รวมยอดผลิตให้ถึง 100,000 คันต่อปีได้ หลังจากล่าสุด Toyota เพิ่งได้รับอนุมัติ BOI เงินลงทุน 1.9 หมื่นลบ.สำหรับรถยนต์ HEV กำลังผลิต 7 หมื่นคันต่อปี หนุนภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ผลิตเพื่อส่งออก เติบโตได้ในระยะยาว NYT เด่น
PM (TP17.40*): Support:10.9-10.7 Resistant:11.9/12.4
- Theme : Earnings Play
- Earnings Outlook : แนวโน้มกำไรปกติ 3Q17F ฟื้นตัว q-q จาก 2Q17 ตั้งค่าใช้จ่ายประจำปีส่วนใหญ่แล้วและเป็น Low season พร้อมเติบโตเด่นต่อเนื่องใน 4Q17F ซึ่งเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ยังคงเป้าฐานกำไรสุทธิปี17F ที่ 535 ลบ.ต่อเนื่องถึง แนวโน้มกำไรช่วง 3 ปีนี้จะเข้าสู่ช่วงเติบโตรอบใหญ่เฉลี่ย CAGR 22% ต่อปี จากกลยุทธ์ที่เป็นเชิงรุกมากขึ้น เริ่มนำ Taro บุกตลาดต่างประเทศ
- Valuation : ภาพของบริษัทจะเปลี่ยนจาก Div play เป็น Growth stock + high div โดย Div yield 7.2% และมี Valuation น่าสนใจ โดยมี PER ปี 2017F เพียง 12.7x เท่า ยังต่ำกว่า TKN ซึ่งสูงถึง 30x เท่า
- Catalyst : แนวโน้มกำไรปกติ 3Q17F ฟื้นตัว q-q จาก 2Q17 เป็น Low season พร้อมเติบโตเด่นต่อเนื่องใน 4Q17F ซึ่งเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี สะท้อนราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ซื้อขายที่ PER17F เพียง 12.3x เท่า
BDMS (TP18F 23.2*): Support:20.6-20.4 Resistant:21.2/21.5
- Theme : Laggard Play
- Earning Outlook : ยังมีความสามารถในการแข่งขันในระดับสูง จากชื่อเสียงจึงสามารถดึงดูดทั้งลูกค้าระดับบนและแพทย์มือดี รวมถึง ได้ประโยชน์เรื่อง Economy of scale เป้าหมายจำนวนโรงพยาบาล 50 แห่งใน 3 ปี เทียบปัจจุบัน 45 แห่ง พร้อมๆกับ การเริ่มขยายเชิงลึก ไปสู่ศุนย์เฉพาะทาง, กลุ่ม Wellness (ป้องกันก่อนเกิดโรค) รับ Aging society หนุนการเติบโตระยะยาว สำหรับ กำไรระยะสั้น คาดเป็นจุด peak ที่ 2.2 พันลบ. (+1% y-y, +38% q-q) จากฝนมาไว และผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ลดความกังวลของตลาดก่อนหน้านี้
- Valuation : หลังเห็น Stock rotation มาที่กลุ่มรพ.ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะ BH ที Outperform มาก (+26% ตั้งแต่ 1 ส.ค.) โดยมอง BDMS เป็น Laggard ที่น่าสนใจ และมี PER 18F ที่ 40 เท่า ยังใกล้เคียงกลุ่มฯ
- Catalyst : เข้าสู่ช่วงฤดูกาลงวด 3Q17F + ผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลางที่ยังเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง โดยเดือนล่าสุดก.ค. นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เพิ่มถึง 5% y-y, 256% m-m และเป็น new all time high !!! ช่วยลดความกังวลของตลาดลง ซึ่ง BDMS มีสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง 3.8%
Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS), **TP(Nomura)
ข่าวเด่น