บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะกลยุทธ์ "จังหวะอ่อนตัวสู่แนวรับ 1665 อาจใช้เป็นจังหวะเล่น Rebound ในระยะสั้น"
Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET แกว่งตัวในกรอบแคบ โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงเก็งกำไรเด่นในกลุ่มอสังหา (LH, SPALI, LPN) ในขณะที่หุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC และ SUPER มีแรงเก็งกำไรเด่น อย่างไรก็ตามมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มธนาคาร (KTB, SCB และ BBL) โดย ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,672 จุด (+2.3 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.8 หมื่นล้านบาท (มี Biglot BJC มูลค่า 3.3 พันล้านบาท) ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ 6.7 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนชาติซื้อกลับมาขายหุ้นไทยที่ 614 ลบ. และยังคง Short สุทธิ SET50 Index Future ต่อเนื่องที่ 12,518 สัญญา (รวม 3 วันทำการ Short มากกว่า 4.7 หมื่นสัญญา)
Investment theme
จับตาดอกเบี้ยสหรัฐ และ ดอกเบี้ยไทย : เราแนะนำให้นักลงทุนติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในคืนวันที่ 20 ก.ย. โดยประเด็นสำคัญมุ่งไปที่ การเปิดเผยแผนการลด Balance sheet ของสหรัฐกว่า 4.5 ล้านล้านเหรียฐสหรัฐ และจุดเริ่มต้นของการลด ซึ่งตลาดคาดไว้ว่าจะเริ่มต้นนับหนึ่งในช่วงปลายปีนี้ (ก่อนหมดวาระของ Yellen) โดยเริ่มต้นลดเดือนละ 1.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และการกล่าวถึงประเด็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเป็น 1.25-1.50% ในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่ง Bloomberg consessus ให้โอกาสการปรับขึ้นที่ 49.1% และสำหรับดอกเบี้ยประเทศไทยเราแนะนำให้นักลงทุนหันมาสนใจ เนื่องจากล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงการคลังและบุคคลอื่นๆ ส่งสัญญาณให้ธปท.พิจารณาแนวทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 27 ก.ย. นี้ ซึ่งเรายังคงมุมมองเป็นกลางสำหรับประเด็นนี้ แต่หาก ธปท.ปรับลด เรามองว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์สูงสุดณ.เวลานี้ คือกลุ่มอสังหา
Investment theme: เราแนะนำชะลอแรงเก็งกำไรกลุ่มธนาคาร และ Switch เข้ามายังกลุ่มอสังหา อย่าง LH (Proxy ของฝรั่ง), SPALI (รับรู้รายได้จาก Backlog ในช่วงครึ่งปีหลังกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท) เราแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรหุ้นในกลุ่ม 5 โรงบางส่วนเพื่อ Lock profit และหันมาสะสมหุ้นที่ Laggard กลุ่มอย่าง CPF และ SPALI
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา ภายหลังพายุ Harvey, Irma บรรเทาลง ล่าสุดสหรัฐกำลังเผชิญกับพายูลูกที่ 3 คือ พายุ Maria / ญี่ปุ่นรายงานตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. สูงกว่าคาดที่ 18.1% / Facebook วางแผนเข้าจีนปีหน้า
คาด NOK เข้าเกณฑ์ Cash balance และ ICN หากราคาปิดวันพฤหัสมากกว่าเท่ากับ 4.00 บาท/หุ้น
Stock pick : LPN
LPN : ทยอยสะสม 12.70 บาท
คาดผลประกอบการไตรมาส 3 จะเป็นจุด Bottom (อ่อนตัว %YoY) อย่างไรก็ตามเรามองว่าตลาดรับรู้ประเด็นนี้ไปแล้วบางส่วน และเรามองว่าราคาปัจจุบัน Laggard ทั้ง SET และกลุ่มอสังหากว่า 11% และ 18% ตามลำดับ ในขณะที่คาดปันผลปีหน้าสูงกว่า 6%
คาดผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไปจะฟื้นตัวเด่น (คาดกำไรไตรมาส 4 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40% ของประมาณการกำไรปี 2560 ที่ 1,460 ล้านบาท) ประกอบกับคาด Presale เด่นจากโครงการพระราม 3 มูลค่าโครงการรวมกว่า 5 พันล้านบาท (20% จะเริ่มขายในไตรมาส 4)
Trading idea – เก็งกำไร PM (13.00-15.30) / เก็งกำไรกลุ่มอสังหา LPN (12.70), LH (11.70), SPALI (26.00) / สะสมกลุ่ม รฟฟ. ชีวมวล TPCH (20.00) PSTC (non rate) รับกระแสประมูล SPP Hybrid
ต้น ต.ค.
Technical View
ยังคอนเฟิร์มการ Break Uptrend : ดัชนีอ่อนตัวสู่แนวรับบริเวณ 1665 แต่สามารถดีดตัวกลับได้ทันที ทำให้ขณะนี้ยังคอนเฟิร์มการ Break Uptrend Channel มองแนวต้านถัดไปที่ 1680 และ 1700 โดยรวมมองว่าแนวโน้มระยะกลางของการปรับตัวขึ้นจะยังคงไม่เสียไปหากไม่หลุดแนวรับที่ 1650 ส่วนระยะสั้นภายในวันหากอ่อนตัวไม่หลุดแนวรับที่ 1665 จะยังคงคอนเฟิร์มการ Break กรอบ Uptrend Channel และจะยังคงมีโมเมนตัมส่งต่อให้ Break แนวต้านที่ 1680 กลยุทธ์การลงุทน (1) นักลงทุนที่มีหุ้น Let Profit Run ไปที่แนวต้าน 1680 และ 1700 (2) นักลงทุนที่ไม่มีหุ้น จังหวะอ่อนตัวสู่แนวรับ 1665 อาจใช้เป็นจังหวะเล่น Rebound ในระยะสั้น
แนวรับ : 1650, 1665 แนวต้าน : 1680, 1700
Eyes on
ปัจจัยต่างประเทศ : จับตาความคืบหน้าของแผนการลดภาษีสหรัฐ / / การประชุม FOMC วันที่ 20 ก.ย. /จับตา Trump หารือกับผู้นำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ประเด็นเกาหลีเหนือ วันที่ 20 ก.ย. ที่ New york
ปัจจัยในประเทศ : จับตาการประชุมกนง.วันที่ 27 ก.ย. / จับตาผลกระทบพรบ.จัดซื้อจัดจ้าง
หุ้นเทคนิค:
MINT (B 39.00, Tp 42.00, Cut 38.00)
LH (B 9.90, Tp 10.80, Cut 9.75)
ข่าวเด่น