ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 47-52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 53-58 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (25 – 29 ก.ย. 60)
ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังคาดจะเผชิญกับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน จากปริมาณการผลิตและการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงและโรงกลั่นในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะยังคงปิดดำเนินการอยู่ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงหนุนจากผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกที่ยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:
- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังปริมาณการผลิตและการนำเข้าน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ยังคงปิดดำเนินการกว่า 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 14.2 ของกำลังการผลิต โดยในสัปดาห์ล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. 60 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 4.6 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 472.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นกว่า 3 สัปดาห์ติดต่อกันและสูงกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล
- การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ คาดจะปรับเพิ่มขึ้นและส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง หลังราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล โดย EIA รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ สำหรับ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. 60 ปรับเพิ่มขึ้นกลับมาสู่ระดับเดิมก่อนเกิดพายุ Harvey ที่ระดับ 9.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดปริมาณการผลิตในเดือน ธ.ค. 60 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน นำโดยการเพิ่มขึ้นของแหล่งผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน
- ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกคาดจะปรับลดลงต่อเนื่อง หลังกลุ่มผู้ผลิตยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือน ส.ค. 60 ผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกปรับเพิ่มความร่วมมือขึ้นมาจาก 85% มาอยู่ที่ 94% ในขณะที่ผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกปรับเพิ่มความร่วมมือมาสู่ระดับ 119% ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 100% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการปรับลดกำลังการผลิตเป็นต้นมา นอกจากนี้ยังต้องจับตาการหารือระหว่างกลุ่มผู้ผลิตว่าจะมีการออกมาตรการเพิ่มเติมโดยขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตจากเดิมที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 61 หรือมีการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากเดิมที่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะปรับลดลง 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือไม่
- จับตาพายุ Maria ว่าจะเคลื่อนตัวเข้าชายฝั่งทิศตะวันออก (East Coast) ของสหรัฐฯ หรือไม่ ซึ่งหากมีการเคลื่อนตัวสู่พื้นที่ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯ โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินซึ่งความต้องการใช้คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 30 ของความต้องการใช้น้ำมันเบนซินทั้งหมด นอกจากนี้ ยังต้องจับตาพายุ Jose ที่แม้ว่าจะลดระดับความรุนแรงเป็นพายุดีเปรสชั่นแล้ว แต่คาดจะเคลื่อนตัวอยู่ในแถบชายฝั่งทิศตะวันออกของสหรัฐฯ
- ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ความรู้สึกของผู้บริโภคยูโรโซน ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯ และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีน
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 – 22 ก.ย. 60)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.77 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 50.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 1.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 56.86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 54.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกจะมีมาตรการเพิ่มเติมจากปัจจุบัน ที่มีการปรับลดกำลังการผลิตราว 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 61 นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากการที่โรงกลั่นน้ำมันในบริเวณอ่าวเม็กซิโกและแถบทะเลแคริบเบียนกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของพายุ Harvey และ Irma อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ประกอบกับ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดานของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ข่าวเด่น