กลยุทธ์วันนี้ >> ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัว Sideways ตามคาดโดยยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ส่วนกนง.ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยแต่ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและฟิวเจอร์สรวมกันอีกเล็กน้อยราว 300 ลบ. และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 8,100 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะแกว่งตัว Sideways Up จากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกมากขึ้นหลังทรัมป์เปิดเผยแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ทั้งบุคคลธรรมและนิติบุคคลเมื่อคืนที่ผ่านมาซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนด้าน FED ที่จะยังขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ เม็ดเงินส่วนใหญ่จึงไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่ปรับตัวลงแรงติดต่อกัน 2 วัน ไหลเข้าหาดอลลาร์รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นซึ่งเป็นบวกต่อตลาดหุ้น
กลยุทธ์ : ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : BCH, CPALL, IRPC, SCC, TMB
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกภูมิภาค US$304ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$220ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเวียดนาม US$2.7ล้าน และไทย US$2.5ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเพราะยังกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed แต่ปริมาณการไหลออกอาจชะลอลงหลังประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BOL <<
- คาดกำไร 3Q17 โตเกือบเท่าตัว Y-Y จากฐานที่ต่ำใน 3Q16 และค่าส่วนแบ่งรายได้ให้กระทรวงพาณิชย์ที่ลดลง รวมถึงการควบคุมต้นทุนอื่นๆดีขึ้นต่อเนื่อง
- ได้ประโยชน์จากการเร่งให้เกิด e-goverment โดยเฉพาะสมาร์ทซิตี้ที่จะเริ่มใน 6 จังหวัดที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวและ EEC ซึ่งภาครัฐฯกำลังมองหาผู้จัดการ Big Data โดย BOL เป็นเอกชนที่เก่งด้านนี้มากสุด และเคยทดลองทำกับเทศบาลของนครนายกและนครสวรรค์ ขณะที่ โครงการเน็ตประชารัฐฯ จะกระตุ้นให้ Matchlink ที่เป็นธุรกิจใหม่ขยายตัวเร็วขึ้น
- คาดกำไรปีนี้ +24% Y-Y และ +22% Y-Y ในปีหน้า แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 3.10 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) ทรัมป์เสนอลดภาษีนิติบุคคล ลงเหลือ 20% จาก 35% และบุคคลธรรมดาเหลือ 35% จาก 39.6% เป็นบวกกับบริษัทที่มีธุรกิจในสหรัฐฯ เช่น IVL TU CPF EPG
(+) กนง.มีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจ วานนี้กนง.มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.5% ตามตลาดคาด และปรับประมาณการ GDP ปีนี้ขึ้นเป็น 3.8% (เดิม 3.5%) ปีหน้าเป็น 3.8% (เดิม 3.7%) เพราะส่งออกขยายตัวดีกว่าคาด รวมถึงอุปสงค์ในประเทศฟื้นต่อเนื่องและเริ่มกระจายตัวมากขึ้น ค่าเงินบาทแม้จะแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงคือความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและ SME
(0) กลุ่มบันเทิง กรณีปฏิบัติของผู้ประกอบการสื่อช่วงจัดงานราชพิธี คาดกำไร 4Q71 ของทั้งกลุ่มจะลดลง Q-Q แต่ยังเพิ่มขึ้น Y-Y จากฐานที่ต่ำ เรามองว่าตลาดรับรู้ถึงประเด็นนี้แล้ว สังเกตได้จากการปรับขึ้นของราคาหุ้นที่คาดกำไร 3Q17 โดดเด่น เช่น RS และ WORK ซึ่งทั้งคู่ราคาเกินเป้าปี 2017 โดยเฉพาะ RS ที่เราแนะนำขาย เพราะราคาเกินเป้าหมายปี 2018 ที่ 18 บาท ส่วน WORK แนะนำถือ ราคาเป้าหมายปี 2018 เท่ากับ 89 บาท โดยคาดกำไร 4Q17 ชะลอ Q-Q เพราะส่วนใหญ่เป็นรายการบันเทิงและเป็นช่วงจ่ายโบนัสพนักงาน ขณะที่ PLANB แนะนำซื้อ เพราะมี Upside มากสุดเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 7.00 บาท ส่วน MCOT และ BEC ยังแนะนำขายจากแนวโน้มกำไรที่ยังอยู่ในช่วงชะลอ
(+) KKP ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ และปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 79 บาท ระยะสั้นคาดว่าจะได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อ ส.ค. 17 ที่ดีสุดในกลุ่ม และแนวโน้มกำไร 3Q17 ที่จะฟื้น 34% Q-Q เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษหลายรายการใน 2Q17 ที่ไม่น่าจะเกิดซ้ำใน 3Q17 เราคงคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่ 5.77 พันลบ. +4% Y-Y และคาดกำไรสุทธิปีหน้าที 5.9 พันลบ. +3% Y-Y ส่วนผลตอบแทนจากปันผลคาดยังสูง 7.2% ต่อปี
(0) BEAUTY จัดประชุมนักวิเคราะห์ครั้งแรกตั้งแต่เข้าตลาด ผู้บริหารยังคงเป้ายอดขาย +20% ต่อปี ซึ่งดูจะไม่สอดคล้องกับกำไรสุทธิ 1H17 ที่ +77% Y-Y แนวโน้ม 2H17 คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากการโตในทุกช่องทางขาย โดยเฉพาะต่างประเทศ, e-commerce และ Consumer product ที่ขายตามห้าง ร้านสะดวกซื้อ และคิงพาวเวอร์ ขณะที่ อัตรากำไรสุทธิขยายตัวจาก Economy of sclae และการเลือกเปิดสาขามากขึ้น เรากำลังปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปีหน้า แต่ราคาปัจจุบันค่อนข้างแพง คิดเป็น PE2017-18 สูงถึง 40-50 เท่า จึงแนะนำเพียงถือ
(+) SEAFCO รับงานใหม่เดือน ก.ย. 17 เพิ่มรวม 523 ลบ. ส่วนใหญ่คือรถไฟฟ้าสายสีส้ม หนุน Backlog ขึ้นมาอยู่ที่ราว 2 พันลบ. ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมฐานรากยังสดใส เราคาดกำไรสุทธิปีนี้ +47% Y-Y และ +23% Y-Y ในปีหน้า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 16.60 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
28 ก.ย.
|
- สหรัฐฯ: 2Q17 GDP (ตลาดคาด +3.2%ดีกว่าคาดการณ์ครั้งก่อนที่ +3.0%)
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ย.)
- ไทย: อัตราการว่างงาน (ส.ค.)
|
29 ก.ย.
|
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.) ถ้อยแถลงของประธาน ECB
- สหรัฐฯ: PMI ภาคการผลิตของเฟดสาขาชิคาโก้ และยอดรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (ส.ค.)
|
30 ก.ย.
|
- จีน: PMI ภาคการผลิต (ก.ย.)
|
2 ต.ค.
|
- สหรัฐฯ: ISM ภาคการผลิต (ก.ย.)
|
3ต.ค.
|
- ออสเตรเลีย: ประชมุธนาคารกลาง (คาดคงดอกเบี้ย 1.5%)
|
4ต.ค.
|
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน (ก.ย.)
|
- (+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดบวกหลังทรัมป์เปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากกลุ่มการเงินหลังผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องขานรับคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ที่ล่าสุดเพิ่มเป็น 80%
- (+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับบวกเล็กน้อย หลังจากมีข่าวการควบรวมกิจการรถไฟขนาดใหญ่ 2 บริษัท นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากกลุ่มธนาคารตามกระแสการคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ย
- (+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกตามทิศทางตลาดโลกที่ได้ปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีทรัมป์
- (0) ค่าเงินบาทเช้านี้ปรับตัว sideway ในกรอบแคบ โดยล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 33.26-33.30 บาท/ดอลลาร์
- (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. ปิดบวก 0.26 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 52.14 ดอลลาร์/บาร์เรล จากสต๊อกน้ำมันดิบลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นกลับมาเดินเครื่องตามปกติ
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดลบ 13.90 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,287.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า
ข่าวเด่น