กลยุทธ์วันนี้

          SMID Cap

Smart Pick
1. สะสม MBK : ราคาปิด 20.10 บาท ราคาเหมาะสม 26.00 บาท 
          a) Yuanta คาดว่ากำไรจะเข้าสู่ Cycle ขาขึ้น เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3 ปีข้างหน้าปีละ 17% จากแรงหนุนของโครงการ Icon Siam ที่จะเริ่มเปิดให้บริการศูนย์การค้าตั้งแต่ 4Q61 และรับรู้รายได้คอนโด Magnolias Waterfront Residence และ Residence at Mandarin Oriental มูลค่ารวม 2.1 หมื่นล้านบาท ในปี 2562-2563 
          b) กลับมารุกตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งทั้งแนวราบ และแนวสูง โดยเตรียมเปิดตัวอีก 4 โครงการมูลค่ารวม 6.5 พันล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561-2564
          c) ธุรกิจศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน และโรงแรมเป็น Cash Cow ที่สร้างเงินสดต่อเนื่อง และอยู่ใน Prime Area เช่น MBK Center, Paradise Park, MBK Tower, โรงแรมปทุมวันปริ้นเซส, ดุสิตธานี กระบี่ ฯลฯ
          d) มี Hidden Asset ที่รอวันปลดล็อดและเป็น Upside ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ เช่น ที่ดินในมือกว่า 4,000 ไร่, การจัดตั้งกอง REIT ขณะที่ Valuation ยังถูกซื้อขายที่ PER2561 เพียง 12 เท่า และลดลงเหลือเพียง 9.6 เท่าในปี 2562

2. สะสม JWD : ราคาปิด 11.60 บาท ราคาเหมาะสม 13.40 บาท 
          a) เบื้องต้นคาดกำไรใน 3Q60 ที่ระดับ 55-60 ล้านบาท พลิกจากการขาดทุนสุทธิราว 105 ล้านบาทใน 3Q59 และกำไรจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของปีใน 4Q60 ด้วยแรงหนุนจากลูกค้าคลังสินค้าประเภทแช่แข็งกลับมาเป็นปกติ, ธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ถึงจุดคุ้มทุน และลูกค้ากลุ่มยานยนต์ ที่คาดว่า จะเข้ามาใช้บริการหนาแน่นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
          b) ทิศทางกำไรเติบโตแข็งแกร่งในระยะยาว ปีนี้ คาดว่า จะพลิกจากขาดทุนสุทธิ 9 ล้านบาทเมื่อปีก่อน มาเป็นกำไรราว 183 ล้านบาท และคาดกำไรจะเติบโตโดดเด่นถึง 93% YoY ในปี 2561 แตะระดับ 354 ล้านบาท  
          c) มี Upside เพิ่มเติมจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ที่น่าจะเห็นความคืบหน้าชัดเจนในเดือนนี้ เบื้องต้น คาดว่า หากจัดตั้งได้สำเร็จ JWD มีโอกาสจ่ายปันผลพิเศษไม่ต่ำกว่า 1 บาท/หุ้น

ตลาดหุ้นไทยวานนี้
          วานนี้ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1 จุด ปิดที่ 1690.87 จุด มูลค่าการซื้อขายราว 5.1 หมื่นล้านบาท ด้านกระแสเงินทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิราว 905 ล้านบาท สวนทางกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 408 ล้านบาท ด้านตลาดฟิวเจอร์ส นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Long สุทธิราว 2.8 พันสัญญา เป็นวันที่ 2 ติดต่อกันราว 3.7 พันสัญญา สวนทางกับสถาบันในประเทศและบัญชี บล. ที่มีสถานะ Short สุทธิเป็นวันแรกของเดือนราว 7 พันสัญญา ในขณะที่สถานะคงค้างอยู่ในระดับต่ำเพียง 3.4 แสนสัญญา ด้านตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการราว 2.9 ล้านบาท

กลยุทธ์วันนี้
          วันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ SET INDEX มีโอกาสขยับขึ้นทดสอบแนวต้านจิตวิทยา 1700 จุด ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ผลักดันด้วยกลุ่มพลังงาน/ ปิโตรเคมี ซึ่งได้รับ Sentiment บวกจากการที่ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวกลับมาราว 2% บนความคาดหวังว่า ประเทศซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย อาจขยายระยะเวลาควบคุมเพดานการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงสิ้นปี 2561 
          ค่ำคืนนี้ ติดตามการรายงานดัชนีตลาดแรงงานที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ตลาดคาดขยายตัว 8 หมื่นตำแหน่ง ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น 1.56 แสนตำแหน่ง และอัตราว่างงาน ตลาดคาดทรงตัวจากเดือนก่อนที่ 4.4% หากไม่ได้ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดมาก เราเชื่อว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้เหมือนเดิม โดยล่าสุด ความน่าจะเป็นขึ้นไปสูงถึง 73.3% แล้ว
          กลยุทธ์โดยรวม ยังคงเป็น "ขึ้นขาย-ลงซื้อ" เช่นเดิม เราให้น้ำหนักกับหุ้นขนาดกลาง-เล็ก (SMID Cap)มากกว่า หุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ซึ่งมี Upside ค่อนข้างจำกัดแล้ว เน้นหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวหรือเติบโตโดดเด่น ขณะที่ Valuation ยังไม่แพง ได้แก่ MBK/ JWD/ MCS/ EPG/ TMB/ GGC/ WHAUP 

ปัจจัยสำคัญวันนี้

• ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้น 1.2% ดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% และดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 3.3%
• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยเดือน ก.ย. อยู่ที่ 75 จุด ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2
• ศาลรัฐธรรมนูญสเปนสั่งยับยั้งการประกาศแยกตัวของ Catalonia
• ติดตามการรายงานอัตราการว่างงานสหรัฐ (ตลาดคาด 4.4%) และการจ้างงานภาคการเกษตร (ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 8 หมื่นตำแหน่ง) วันนี้

ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า

• ติดตามการรายยงาน PMI จีน และการกำหนดวันออกสัญญาเพิ่มขึ้นโครงการ รถไฟไทย-จีน เฟสแรก วันที่ 9 ต.ค.
• ติดตาม Fed Minutes วันที่ 11 ต.ค.
• ติดตามการรายงานการ นำเข้า-ส่งออก จีน และ เงินเฟ้อ สหรัฐฯ วันที่ 13 ต.ค.