กลยุทธ์วันนี้
SMID CAP
Smart Pick
1. สะสม MONO : ราคาปิด 4.30 บาท ราคาเหมาะสม 5.30 บาท
a) Yuanta ประเมินว่ากำไรสุทธิ 3Q60 เติบโตเด่นทั้ง YoY และ QoQ และทำระดับสูงสุดใหม่ จากการปรับขึ้นค่าโฆษณาขึ้น +37% YoY เป็น 28,000 บาท / นาที และยังมีช่องว่างในการปรับขึ้นค่าโฆษณาได้อีกมาก เนื่องจากยังมีส่วนต่างกับ WORK ที่นาทีละ 50,000 บาทค่อนข้างมาก
b) คาดการบริโภคในประเทศจะฟื้นตัวใน 4Q60 หลังผ่านช่วงพระราชพิธีฯ และเป็นบวกโดยตรงต่อเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณา เนื่องจากคาดว่าผู้ประกอบจะเร่งทำตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เหลือของปี
c) คงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในปี 2561 โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตสูงถึง +121% YoY เป็น 359 ล้านบาท และมี Upside คือค่าธรรมเนียมใบอนุญาต Digital TV อัตราใหม่ที่ลดลงจาก 1.71% เหลือ 0.57% จะส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นปีละ 20 ล้านบาทซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการกำไรของเรา
2. สะสม GRAND : ราคาปิด 1.32 บาท ราคาเหมาะสม 1.83 บาท
a) ราคาหุ้นรอปัจจัยบวกคือ การขายสินทรัพย์ คือโรงแรมเชอราตัน หัวหิน เข้ากองทุน GAHREIT มูลค่า 1,750 ล้านบาท จะส่งผลให้มีกำไรพิเศษสูงถึง 300 ล้านบาท ใน 4Q60
b) คาดกำไรปกติปี 2561 เติบโต +123% YoY เป็น 347 ล้านบาท จากการโอนโครงการ Hyde Sukhumvit 11 และการเปิดตัวโครงการ Hyatt Regency Bangkok ในช่วงกลางปี 2561 หนุนให้กระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้น และคาดตอบรับที่ดีจากอุปทานโรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพหายไป จากการปิดโรงแรมดุสิตธานี และ Swissotel Nailert Park
a) รายได้ 3 ปีข้างหน้าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการเปิดโครงการ Villa Rayong และ Hyde Thonglor และขายโรงแรมเข้ากอง REIT อีกในอนาคต ได้แก่ Westin Sukhumvit ในปี 2563 และ Hyatt Regency Bangkok ในปี 2564 จะสร้างกระแสเงินสดรับให้บริษัทถึง 8,500 ล้านบาท สูงกว่า Market Cap ปัจจุบันของบริษัทที่ 3,800 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา SET INDEX ฟื้นตัวเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันอีก 7.03 จุด มาปิดที่ 1708.84 จุด มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 หมื่นล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเด่นได้แก่ ท่องเที่ยว +1.7%, สื่อ-สิ่งพิมพ์ +1.5%, อสังหาฯ +1.4% ด้านกระแสเงินทุน นักลงทุนต่างชาติ พลิกสถานะกลับมาขายสุทธิ 1.7 พันล้านบาท สวนทางกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 3 วันติดต่อกันอีก 1.4 พันล้านบาท สำหรับตลาดฟิวเจอร์ส กลุ่มสถาบันในประเทศ+บัญชี บล. มีสถานะ Short สุทธิ 1.1 พันสัญญา เช่นเดียวกับ นักลงทุนต่างชาติ Short สุทธิเช่นกัน 4.6 พันสัญญา
กลยุทธ์วันนี้
การซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ เราคาด SET INDEX แกว่งในกรอบแคบ 1700-1715 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง แต่ Downside จำกัด เพราะกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี จะทรงตัวได้ดี จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแกร่งตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เช่นเดียวกับ กลุ่ม Domestic Plays ที่บวกเด่นใน ระยะหลังทั้งกลุ่มอสังหาฯ, สื่อ-สิ่งพิมพ์, ค้าปลีก จะช่วยประคับประคองให้ SET INDEX ยืนเหนือ 1700 จุด
สัปดาห์หน้า Earnings Season กลับมาอีกครั้ง จับตาการรายงานงบ 3Q60 ของภาคการผลิตแท้จริง (Real sector) โดยเฉพาะหุ้น Big Cap อย่าง SCC (1 พ.ย.), ADVANC (2 พ.ย.), PTTEP (2 พ.ย.)
การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเช่นเดิม แต่ขยายระยะเวลาใช้ QE ไปจนถึง เดือนก.ย. 61 อย่างไรก็ตาม วงเงินสำหรับปีหน้าจะลดลงเหลือ 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน เทียบกับวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ที่จะใช้ไปจนถึงสิ้นปีนี้ สะท้อนว่า ความจำเป็นในการพึ่งพานโยบายผ่อนคลาย เริ่มมีน้อยลง ขณะที่การตอบสนองของตลาดวานนี้ ค่าเงินยูโร อ่อนค่าทันทีราว 1% เทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ
กลยุทธ์วันนี้ ซื้อสะสมหุ้น Domestic Plays คาดหวังการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศเมื่อเข้าสู่ High season ในไตรมาส 4 กลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ อสังหาฯ, สื่อ-สิ่งพิมพ์, ค้าปลีก, สื่อสาร เป็นต้น
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- ผลการประชุม ECB กำหนดวงเงิน QE สำหรับปีหน้า ลดลงจาก 6 หมื่นล้าน ยูโรต่อเดือน เหลือ 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.61
- ติดตามการรายงาน GDP 3Q60 (รอบแรก) สหรัฐฯ ตลาดคาดขยายตัว 2.6%
ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า
- หุ้น IPO ในตลาด mai เข้าซื้อขายวันแรก 2 บริษัท ได้แก่ FLOYD (1 พ.ย.) และ TITLE (2 พ.ย.)
- ติดตามการประชุม (BOJ) และ GDP 3Q60 ของยูโรโซน วันที่ 31 ต.ค.
- ติดตามการประชุมเฟด วันที่ 31 ต.ค. - 1 พ.ย.
- ติดตามการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ วันที่ 2 พ.ย.
- ติดตามการรายงานดัชนีตลาดแรงงานของสหรัฐฯ วันที่ 3 พ.ย.
- ติดตามการประกาศงบการเงิน
-
ข่าวเด่น