Market summary

  เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา SET แกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ โดยสังเกตเห็นแรงขายทำกำไรในหุ้นขนาดกลางที่ outperform ในช่วงก่อนหน้า เช่น AMATA, RS, BEAUTY, ESSO, WHA, COM7, PRM, SGP ขณะที่มีแรงซื้อกลับในหุ้นที่ค่อนข้าง Laggard เช่นกลุ่ม โรงพยาบาล (BDMS), เกษตร (GFPT, STA) และอาหาร (TU, TKN) โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,697 จุด (-2 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.9 หมื่นลบ. ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 4.4 หมื่นล้านบาท
  นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องแต่ปริมาณลดลงเหลือ  175 ล้านบาท และคงสถานะ Short สุทธิ SET50  Index Future ที่ 3,134 สัญญา

Investment theme
  ดัชนี PMI ภาคบริการในหลายประเทศขยับขึ้นต่อเนื่องการเร่งตัวขึ้นของเศรษฐกิจโลก ถือเป็นปัจจัยหนุนต่อแรงเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะเร่งตัวขึ้นเด่น ดังนั้นจึงควรจับตาการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ตลาดโลกมีการรายงานดัชนี PMI ภาคบริการของเดือน พย. ทั้ง สหรัฐฯ, ยุโรป และจีน ซึ่งโดยสรุปพบว่า ดัชนี PMI ของ ฝรั่งเศส และจีน เร่งตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง และออกมาดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ด้วย ส่วนตัวเลข PMI ของยูโรโซน อยู่ในระดับเดิม ตามคาด ในขณะที่ PMI ของ สหรัฐฯ และ เยอรมนี ปรับตัวลดลง ต่ำคาดเล็กน้อย ซึ่งโดยสรุปพบว่าโดยรวมยังมีแนวโน้มที่ดี และอยู่ในระดับที่เกิน 50 จุด (Critical Point) สะท้อนมุมมองเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้โดดเด่น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นแรงหนุนต่อการเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง ส่วนด้านปัจจัยในประเทศ จุดสำคัญคงอยู่ที่ประเด็นเม็ดเงิน LTF ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกที่ นักลงทุนต้องถือครอง LTF 7 ปีปฎิทิน อีกทั้งดัชนีที่แกว่งตัวอยู่บริเวณ 1700 จุด อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจยากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเราคาดแม้ตัวเลขอาจชะลอตัวลงบ้างแต่ก็น่าจะเพียงพอต่อการพยุงภาพรวมตลาดได้      
  Investment theme:  สัปดาห์นี้คาด SET ยังคงแกว่งในกรอบ 1,680-1,720  ใช้กลยุทธ์ ขึ้นขาย-ลงซื้อ เน้นหุ้นกลุ่ม Logistic (PSL, WICE, PORT) รวมถึงทยอยสะสมกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL) และกลุ่มอสังหา (LPN, AP)

Big issue
  เมื่อคืนที่ผ่านมา   PMI ภาคบริการ เดือน พย. ของ ฝรั่งเศส เพิ่มสู่ 60.4 จาก 60.2, เยอรมนี ลดลงสู่ 54.3 จาก 54.9, จีน เพิ่มสู่ 51.9 จาก 51.2 /  Brent ปรับตัวขึ้นต่อที่ 62.86 เก็งรายงานสต๊อกน้ำมันดิบ EIA คืนนี้คาดลดลง -2.86 ล้านบาร์เรล / BDI ปรับขึ้นอีก 4 จุด เป็น 1,666 บวก 13 วันติด / ราคาทองแดงปรับตัวลงแรงกว่า -4.1%

Stock pick : BBL
BBL : เก็งกำไร (Bloomerg consensus 216 บาทต่อหุ้น)
  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยกระตุ้นยอดสินเชื่อขยายตัว โดยคาดสินเชื่อที่จะขยายตัวเด่นมาจาก Corporate loan ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับพอร์ทสินเชื่อของ BBL ที่เน้นลูกค้า Corporate กว่า 58%
  คาดปี 2018 รับอานิสงส์บวกจากการขายผลิตภัณฑ์ของ AIA ประเมินเบื้องต้นจะรับรู้ช่วง 2H18
Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไปนัก ปัจจุบันยังคงเทรดต่ำกว่า Book value ที่ 205 บาทต่อหุ้น
  Trading idea – เก็งกำไร DEMCO จากแผนความคืบหน้าทางการเงินของ บ.วินด์เอนเนอยี่ / เก็งกำไร KCE ราคาทองแดงโลกลดลงกว่า -4.1% / BJC @ 68.0 บาท / ทยอยสะสม WICE @6.10 และ PSL @13.70   
Technical View

  SET Index: เกิดแท่งแดงหลายวัน ยังคงจับตาแนวรับ 1690 : ภาพหลักดัชนียังคงแกว่งตัวในกรอบสามเหลี่ยม Symmetry Triangle แต่ตลอด 4 วันที่ผ่านมา เกิดแท่งเทียนแดงติดต่อกัน ทำให้เริ่มมีมุมมองเชิงลบมากขึ้น แม้ที่แนวรับ 1690 จะมีแรงซื้อกลับที่แข็งแกร่ง ก็ยังคงให้จับตาแนวรับดังกล่าวให้มากขึ้น เนื่องจากหากหลุดแนวรับจะทำให้เทรนการแกว่งตัวเสียไป มุมมองเชิงลบจะลดลงหากกลับไปยืนเหนือแนวต้าน 1710 และ 1720 ตามลำดับ กลยุทธ์การลงทุน  1) มีหุ้น: Let Profit Run คาดหวังการ Rebound ขึ้นตามกรอบสามเหลี่ยม 2) หากดัชนีไม่หลุดแนวรับ 1688-1690 มองเป็นโอกาสเล่น Rebound
  แนวรับ : 1695, 1690  แนวต้าน : 1706, 1710

Eyes on
  ปัจจัยต่างประเทศ : ญี่ปุ่นรายงาน GDP ไตรมาส 3 วันที่ 7 ธ.ค. / จับตาปัญหาการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐและจีน
ปัจจัยในประเทศ : วันนี้ (6 ธค) GULF เข้าซื้อขายใน SET เป็นวันแรก / 7 ธค. จับตาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย เดือน พย / ติดตามความคืบหน้าราคายางไทย หลังนายกฯต้องการพยุงราคาไม่ให้ตกต่ำ

หุ้นเทคนิค:
  BDMS (B 21.40, Tp 22.70, Cut 21.20)
  AOT (B 61.00, Tp 63.00, Cut 60.00)