ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน SET น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1806-1825 จุด (19/01/61)


 กลยุทธ์การลงทุน 

  SET น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1806-1825 จุด ตามแรงขายรับงบธนาคาร 4Q60 และราคาน้ำมันที่ปรับฐานช่วงสั้น ขณะที่หุ้นรับเหมาก่อสร้างที่ลงแรงเกินไป เทียบกับต้นทุนค่าแรงที่กระทบจำกัด จึงเป็นโอกาสสะสม (STEC, CK, UNIQ) กลยุทธ์ยังให้ขายหุ้นที่ขึ้นเกินมูลค่าฯ ปี 2561 (AOT, BJC, TOP, BBL, KBANK, IRPC, PTTGC, JAS, EA, TRUE) แต่สะสมหุ้นปันผลสูง/โภคภัณฑ์ (SIRI, TMT, TASCO, PTTEP, SCC, CPF, MAJOR) Top picks เลือกหุ้นปันผลเด่น SIRI(FV@B2.48) และ MCS(FV@B14.9) เงินปันผลสูง และกำไรงวด 4Q60 เติบโต 148% qoq       
  
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … หุ้นใหญ่พลังงาน/อสังหา หนุน SET ช่วงท้าย  
  วานนี้ SET Index ถูกแรงเทขายช่วงท้ายตลาด ก่อนจะปิดที่ 1819.32 จุด ลดลง 9.56 จุด หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 8.18 หมื่นล้านบาท แรงขายรับงบกลุ่มธนาคารพาณิชย์กดดันตลาด โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มฯ นำโดย KBANK ลดลง 2.16% ตามด้วย SCB ลดลง 3.09% KTB ลดลง 0.97% และ BAY ลดลง 2.08% อีกกลุ่มที่ปรับตัวลงแรงคือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง นำโดย STEC ลดลงแรงกว่า 5.90%, UNIQ ลดลง 3.6%, CK ลดลง 1.77% และ ITD ลดลง 2.45% ขณะที่กลุ่มกลุ่มพลังงานปรับลดลงเช่นกัน โดย PTT ลดลง 0.83% ยกเว้น PTTEP บวกได้สวนทางกลุ่ม 0.44% เช่นเดียวกับ BANPU เพิ่มขึ้นอีก 2.26% 
  สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดคือ BEAUTY เพิ่มขึ้นแรงกว่า 7.54%, ROBINS เพิ่มขึ้น 1.36%, KTC เพิ่มขึ้นอีก 5.50% และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ KGI เพิ่มขึ้น 3.31%,TNITY เพิ่มขึ้น 3.23%, ZMICO เพิ่มขึ้น 2.42% รวมทั้ง FNS, AEC, GBX เพิ่มขึ้น 2.18%, 3.57% และ 2.67% ตามลำดับ
  สำหรับแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดมีโอกาสเห็นดัชนีแกว่งตัวพักตัวในกรอบแคบ โดยมีแนวรับที่ 1806 จุด แนวต้าน 1825 จุด

ยอดสั่งสร้างบ้านสหรัฐเริ่มชะลอตัว กดดันเศรษฐกิจระยะสั้น
  ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว สะท้อนจากยอดสร้างบ้านใหม่ (Housing start) เดือน ธ.ค. 2560 ลดลง 8.2%mom แตะระดับต่ำสุดในรอบปี  หลังจากที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน  3 เดือนก่อนหน้า ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ ต่อเนื่อง 2 ปี (Fed ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 5 ครั้งๆ ละ  0.25%  นับตั้งแต่ ธ.ค.2558  - 2560  ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 1.50%)  และผลจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากว่าปกติในช่วงเดือน ธ.ค. ส่งผลให้การก่อสร้างชะลอตัว ซึ่งน่าจะมีน้ำหนักถ่วงดุลเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี  
  ขณะที่รายงานเศรษฐกิจจีนงวด 4Q60 ดีกว่าตลาดคือ คือ  GDP growth  ราว 6.8%yoy สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 6.7%  แต่ทั้งปี เติบโต  6.8%  แต่น่าจะมีทิศทางชะลอตัวในปี 2561  สะท้อนจาก IMF คาดปี 2561 คาด 6.5% ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังคงห่างจากจุด high เดิมอีกมาก และการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวได้ดีในช่วงนี้น่าจะเป็นเพราะตลาดขึ้นน้อย ขณะที่ P/E ต่ำสุดในภูมิภาค ดังนั้นเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นจีนจะเดินหน้าต่อไป 

สต๊อกน้ำมันลดมากกว่าคาด แต่ราคาน้ำมันปรับฐานช่วงสั้น  
  วานนี้สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ล่าสุด ลดลงมากกว่าคาดโดยปรับตัวลดลง  6.86  ล้านบาร์เรล (ลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 9) ขณะที่ตลาดฯคาดว่าจะลดลง 3.5 ล้านบาร์เรล เป็นผลจากภาวะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ ทำให้โรงกลั่นยังคงกำลังการผลิตระดับสูง  
  แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบโลกได้มีการย่อตัว  โดยวานนี้สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ย่อตัว 0.52% มาอยู่ที่  63.62 เหรียญ/บาร์เรล เหตุผลน่าจะเกิดจาก  ล่าสุด  OPEC  ออกรายงานประจำปี เดือน ม.ค.  เผยปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลก  เดือน ธ.ค.  ยังเพิ่มขึ้น ราว 0.4 ล้านบาร์เรล/วันอยู่ที่  97.49 ล้านบาร์เรล/วัน   และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกในปีนี้  หลักๆ คาดกลุ่มประเทศ Non –Opec จะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.15 ล้านบาร์เรล/วัน อยู่ที่  58.94 ล้านบาร์เรล/วัน  และมาจากการ Take Profit หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น  3.5%ytd   และแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี  นอกจากนี้เป็นผลจาก Dollar Index หยุดอ่อนค่า 
  ขณะที่ปัญหา Supply Disruption ยังคงมี คือปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศอิหร่านที่ยังยืดเยื้อ  (แหล่งผลิตน้ำมันอันดับที่ 3 ของ OPEC ผลิตน้ำมันราว 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับกลุ่ม OPEC วันละ 32.47 ล้านบาร์เรลต่อวัน) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบ  และ ไนจีเรีย หลังกลุ่มติดอาวุธในไรจีเรียประกาศพร้อมจะโจมตีการขุดเจาะน้ำมันดิบครั้งใหม่นอกชายฝั่งทะเลประเทศในจีเรีย (แหล่งผลิตน้ำมันอันดับที่ 6 ของ OPEC ผลิตน้ำมันราว 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
  ราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุดยังยืนเหนือ 66 เหรียญฯต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมติฐานที่นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ ASPS ประเมินไว้ที่ 60 เหรียญฯ ในปี 2561 (ให้ราคาน้ำมันดิบคงที่ 65 เหรียญฯ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป)  หากราคาน้ำมันดิบดูไบที่สูงกว่าสมมติฐานทุก 5 เหรียญฯ  คือ 65 เหรียญฯ  และ 70 เหรียญฯ  คาดว่าจะช่วยเพิ่ม Fair Value ปี 2561 ให้ PTTEP(FV@ B118) ขึ้นเป็น 126.81 บาท และ 135.45 บาท ตามลำดับ จึงเป็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นดังกล่าว  

หุ้นรับเหมาลดแรงเกิน จากผลกระทบค่าแรง ยังชอบ STEC, UNIQ, CK
  การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวานนี้  แม้กระทบภาคธุรกิจที่ใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) เช่น กลุ่มเกษตรและอาหาร, กลุ่มชิ้นส่วนฯ  และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าผลกระทบต่อผลการดำเนินงานน่าจะจำกัด ตามที่ฝ่ายวิจัยได้สรุปไว้วานนี้
แต่เป็นที่สังเกตว่าวานนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ ปรับลดลงแรงเกินไป เมื่อเทียบกับผลกระทบที่ต้นทุนจะสูงขึ้นจากค่าแรงดังกล่าว คือ  
STEC งานรับเหมาก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ มีแรงงานราว 10,000 คนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นอีก 15 บาท (จาก 310 เป็น 325 บาทต่อวัน) ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 1.5 แสนบาทต่อวัน หรือ 54 ล้านบาทต่อปี   คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของกำไรทั้งปี 2561 ที่ประเมินไว้ 1550 ล้านบาท   ขณะที่ราคาหุ้นวานนี้ปรับลดลงแรงมากเกินไปถึง 5.9% ถือว่าลดลงมากเกินไป
  CK งานรับเหมาก่อสร้างทั้งไทยและลาว  พิจารณาสัดส่วนกำไรในงวด 9M60 มาจากในลาว 38.6%  ที่เหลือในไทย  ขณะที่ Backlog ในมือนั้นเป็นงานก่อสร้างในลาว 21% ของ Backlog ทั้งหมด จึงคาดว่า ผลกระทบจากการปรับค่าแรงจะทบต่อ CK น้อยกว่า STEC  ขณะที่ราคาหุ้นวานนี้ลดลงไป 1.77%
  UNIQ แม้จะมีงานรับเหมาก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว และงานก่อสร้างถนน ซึ่งเป็นงานในกรุงเทพฯ แต่ยังมีงานที่เกี่ยวข้องกับโรงหล่อชิ้นส่วนตั้งอยู่ในสระบุรี ซึ่งเป็นงานที่ใช้เครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่ และใช้แรงงานน้อย การขึ้นค่าแรงจึงไม่น่าจะกระทบกับต้นทุนแรงงานของ UNIQ  น่าจะน้อยกว่า STEC เช่น กัน แต่  ราคาหุ้นวานนี้ลดลงถึง 3.59%
  SEAFCO  เป็นผู้สร้างรากฐาน ระยะเวลาการทำงานจึงสั้นกว่า ผลกระทบจากต้นทุนแรงงานจึงจัดการได้มากกว่า 3 บริษัทข้างต้น ขณะที่มี Backlog สูงทำ new high  และยังมีโอกาสที่ Backlog จะสูงขึ้นหลังจากที่ได้งานใหม่อีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งต้องรอบริษัทประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง 
โดยภาพรวมจึงคาดว่าต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นน่าจะกระทบกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจำกัด แต่ทุกอย่างได้สะท้อนในราคาหุ้นส่วนใหญ่ ยังแนะนำให้สะสม และยังคงชื่นชอบหุ้นก่อสร้าง STEC (FV@B30), UNIQ (FV@B24) และ CK (FV@B36) และ SEAFCO(FV@B12)
 

ต่างชาติยังคงซื้อหุ้นในภูมิภาค เช่นเดียวกับไทย
  วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่าราว 483 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียเท่านั้นที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 22 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกันนาน 13 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่ง ต่างชาติซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถุกซื้อสุทธิ 381 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 8 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว),  ฟิลิปปินส์ 8 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 7 ล้านเหรียญ หรือ 235 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิอีก 527 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
  ส่วนทางกับทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 9.48 พันล้านบาท ต่างกับต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิ 8.45 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 วัน)

แรงขายรับงบกลุ่ม ธ.พ. ยังมีอยู่ให้ switch ไปหุ้นปันผลเด่น
  วานนี้รายงานหุ้นธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง คาดว่าน่าจะเห็นแรงขายรับงบต่อเนื่อง หลังจากที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับขึ้นรับผลกำไรที่ดีขึ้นแล้ว  เริ่มจาก
  • BAY  กำไรสุทธิงวด 4Q60 อ่อนตัวตามคาดเท่ากับ 5.68 พันล้านบาท ลดลง 5.6% qoq (แต่เพิ่มขึ้น 10.2% yoy) ผลจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เร่งตัวตามค่าใช้จ่ายทางการตลาด ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิยังเติบโตได้ทั้งสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อรายใหญ่ รวมทั้งค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามช่วงฤดูกาล ทำให้กำไรสุทธิปี 60 เท่ากับ 2.30 หมื่นล้านบาท เติบโต 8.4% และปี 2561 น่าจะเติบโตต่ออีก 7.3%   
  • TMB กำไรสุทธิงวด 4Q60 ดีกว่าคาดที่ 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7%qoq และ 7.4%yoy จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อเคหะและสินเชื่อรายใหญ่ ขณะที่ NPL ยังคงลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 60 อยู่ที่ 8.73 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% ส่วนปี 2561 แต่คาดกำไรสุทธิปี 2561 เติบโตอย่างมีนัยฯ ถึง 20.2% yoy  
  • BBL กำไรสุทธิงวด 4Q60 ต่ำกว่าคาดที่ 8.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1%qoq และ 2.8%yoy ทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 60 อยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% และปี 2561 คาดจะเพิ่มราย 14%YoY  
  • SCB กำไรสุทธิงวด 4Q60 ต่ำกว่าคาดที่ 9.1 พันล้านบาท ลดลงทั้ง QoQ และ YoY (-9%QoQ, -28%YoY) ด้วยแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบปี เป็นผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2560 อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ลดลง -9.4%YoY ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดประมาณการปี 2561-62 ลง และปรับ Fair value ลงเหลือ 170 บาท จากเดิม 174 บาท โดยปี 2561 กำไรสุทธิเติบโตเพียง 3.4% แต่จะกลับมาโตแรงในปี 2562 ที่ 15.2% จึงแนะนำซื้อ    
  กลยุทธ์การลงทุนในภาวะที่ SET Index ปรับฐาน ให้ขายทำกำไร หรือหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาเกิน Fair Value ไปแล้ว เช่น KCE, SAPPE, JAS, TVO, PCSGH, IHL, TRUE, LANNA, ICHI, TU, GPSC, EA, GCAP และควรพักเงินในหุ้นปันผล ตามกลยุทธ์ Dividend Play หุ้นเด่นคือ SIRI, TASCO, TMT , MCS  วันนี้เลือก MCS(FV@B14.9) เป็น Top pick  เพราะคาดกำไรสุทธิงวด 4Q60 จะทำได้ 350 ล้านเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 148% จากงวดก่อนหน้า และปี 2561 คาดว่ากำไรจะเติบโต 29% เป็น 679 ล้านบาท จาก 526 ล้านบาทในปี 2560 (อ่านรายละเอียดใน Equity talk  18 ธ.ค. 2560)


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 ม.ค. 2561 เวลา : 11:57:29

24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 5:03 pm