กลยุทธ์วันนี้ >> Dividend and Laggard Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวบวกได้ในช่วงครึ่งวันเช้าก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไรออกมาและทำให้ดัชนีย้อนลงมาปิดลบ 6.25 จุด ณ สิ้นวันซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของเรา นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิค่อนข้างหนัก 2,763 ลบ. (แต่ยังคง Net Long ใน Index Futures หนาแน่น 16,385 สัญญา) ขณะที่รายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 2,220 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET มีมีโอกาสปรับฐานลงทดสอบ 1,805-1,810 จุดจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงกว่า 2% จากความกังวเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับขึ้นเร็วและมากกว่าคาดจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งซึ่งจะนำมาซึ่งเงินเฟ้อ เราคาดว่ากลุ่มที่ปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในช่วงที่ผ่านมามีโอกาสถูกขายมากที่สุดเช่นกัน ขณะที่หุ้นที่จ่ายปันผลดีและหุ้นที่ยัง Laggard ตลาดคาดว่าน่าจะเป็นแหล่งพักเงินในระยะนี้ อย่างไรก็ตามเรามองตลาดปรับฐานระยะสั้นเพื่อที่จะขึ้นต่อ จึงเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานรอบใหม่
กลยุทธ์ : พักเงินในหุ้นปันผลดีและหุ้นที่ยัง Laggard//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานในช่วงปรับฐานหุ้นเด่นเดือน ก.พ. : AMATA, BBL, BCH, MGT, SAPPE
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$844ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$689ล้าน และไทย US$88ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเวียดนาม US$12ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งทำให้ตลาดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> PRAKIT <<
- PRAKIT เป็นบริษัทรับทำโฆษณาที่อยู่ใน SET มา 27 ปี ตั้งแต่เข้าตลาดปีไม่เคยขาดทุน ผลประกอบการผันแปรตามงบโฆษณา ซึ่งชะลอตัวมา 2 ปี ก่อนที่คาดว่าจะฟื้นในปีนี้ 5-10% เราคาดกำไรสุทธิปีที่แล้ว +8% Y-Y และปีนี้ +10% Y-Y อยู่ที่ 65 ลบ.
- เราชอบ PRAKIT ตรงราคาต่ำบุ๊ค ไม่มีหนี้ มีเงินสด+เงินลงทุน+ที่ดิน 12 บาท/หุ้น และเป็นบริษัทที่จ่ายปันผลปีละครั้งสูงถึง 7% ต่อปี อีกทั้งราคาหุ้นไม่สัมพันธ์กับ SET ค่าเบต้าต่ำเพียง 0.3 เท่า จึงน่าจะ Outperform ในช่วงตลาดพักฐานได้
- ข้อเสียของ PRAKIT มีเรื่องเดียวคือสภาพคล่องต่ำ เราคาดว่าจะถูกแก้โดย split par ราคาปัจจุบันคิดเป็น PE2018 เพียง 12 เท่า ค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 15 เท่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 16.20 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) สินทรัพย์ลงทุนปรับฐาน จากตัวเลขจ้างงานและอัตราค่าจ้าง ม.ค. 18 ที่สูงกว่าคาด จนคาดว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุล เพื่อสกัดเงินเฟ้อและลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในพันธบัตรที่ถือไว้ช่วงทำ QE เราคาดว่า Dollar Index จะค่อยๆฟื้น ไม่กระทบ Flow ต่างชาติมากนัก เพราะเริ่มทยอยออกไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ ถ้าย้อนไปถึงปี 2000 พบว่ามี 8 ครั้งที่ดาวโจนส์ลงเกิน 600 จุด วันถัดไป SET ลงเฉลี่ย 2% แต่มี 2 ครั้งที่ SET ขึ้นสวน ครั้งล่าสุดคือ 24 มิ.ย. 17 SET ขึ้น 1% หลังทราบผล Brexit อย่างไรก็ตาม การกลับมาอ่อนค่าของเงินบาท จะเป็นลบกับกลุ่มนำเข้าและพลังงานที่ขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ส่วนกลุ่มส่งออกและปันผลดีน่าจะ Outperform ตลาดได้ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (HANA) เกษตรอาหาร (TU) เครื่องดื่ม (SAPPE) ท่องเที่ยว (MINT) และ KKP LH AIT ASK KCAR MODERN MBAX FTE PRAKIT
(0) FSMART คาดกำไร 4Q17 ทรงตัว Q-Q แต่เพิ่ม 8.0% Y-Y จากค่าซ่อมบำรุงตู้เติมเงินที่มากเป็นพิเศษและค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มตามฤดูกาล และ 4Q16 มีเครดิตภาษี ทั้งปี 2017 เราคงมองกำไรโตสูง 34% Y-Y แต่ปรับประมาณการปี 2018-2019 ลง 5-8% จากการปรับลดสมมุติฐานอัตราส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการ ทำให้กำไรสุทธิเหลือโต 21.5% Y-Y และ 16.9% Y-Y ตามลำดับ พร้อมปรับลด Long Term Growth เป็น 2.5% เพื่อสะท้อนปัจจัยเสี่ยงระยะยาว จากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผุ้ใช้บริการเติมเงินผ่านช่องทางใหม่ๆ โดยเฉพาะ Mobile App. ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2018 ลดเหลือ 19.50 บาท จากเดิม 23.50 บาท แต่ด้วยราคาหุ้นที่ยัง Laggard และคาดปันผลงวด 2H17 หุ้นละ 0.31 บาท Yield 2.1% จึงคงคำแนะนำซื้อ
(+) FTE เหตุไฟไม้โรงงานที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ขายและวางระบบดับเพลิงโดยตรง ซึ่งล่าสุดเกิดเหตุที่บริษัทไทยกอง ผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์รายใหญ่ของประเทศ เรายังชอบ FTE มากที่สุดในกลุ่ม เพราะเป็นผู้นำตลาดอุปกรณ์ดับเพลิงและยังมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มโรงงานไม่ถึง 10% ขณะที่ เราคาดว่าปันผลเฉพาะ 2H17 จะสูงราว 3% (ทั้งปีคาด 5%) เพราะยังไม่มีแผนใช้เงินในระยะนี้ แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 5 บาท
(+) AIT-SVOA-PT กระทรวงการคลังจะเริ่มแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment วันที่ 27 มี.ค. 18 โดยให้หน่วยงานรัฐฯ จ่ายเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนการจ่ายเงินสด เราคาดว่าจะกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนด้านระบบชำระเงินจริงจังมากขึ้น เป็นบวกต่อผู้วางระบบให้กับทั้งหน่วยงานภาครัฐฯ และเอกชน โดยของงานภาครัฐฯ เราชอบ AIT (TP 32) และ SVOA (TP 3.50) ส่วนงานภาคเอกชนชอบ PT (TP 8.80)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
5 ก.พ.
|
- อินโดนีเซีย: 4Q17 GDP ตลาดคาด 5.15% Y-Y
- ยูโรโซน: Final PMI ภาคการผลิต (ม.ค. 18) ยอดค้าปลีก (ธ.ค. 17)
|
8 ก.พ.
|
- อังกฤษ: ประชุม BOE คาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5%
|
9 ก.พ.
|
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ
|
14 ก.พ.
|
- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อและยอดค้าปลีก (ม.ค. 18)?
|
- (-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับฐานแรงเฉลี่ยกว่า 2% หลัง Bond Yield ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาด
- (-) ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนวันศุกร์ปิดลบค่อนข้างแรงเช่นกันนำโดย Deutsche Bank ที่ร่วงแรง รวมถึงถูกกดดันจาก Bond Yield ทั้งสหรัฐฯและยุโรปที่พุ่งขึ้น
- (-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดลบเฉลี่ยราว 1.5-2% เช่นกันจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบจากภูมิภาคอื่น
- (-) ค่าเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาอ่อนค่า ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 31.38-31.55 บาท/ดอลลาร์
- (-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. ลดลง 0.35 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 65.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีรายงานว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯมีการใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่า
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ร่วงลง 10.60 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,337.30 ดอลลาร์/ออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นหลังสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือน ม.ค. ที่แข็งแกร่งกว่าคาด
ข่าวเด่น