กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic and Dividend Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET เปิดหลุด 1,780 จุดจากความกังวลเรื่องดอกเบี้ยและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ โดยไหลต่อเนื่องลงไปทดสอบแนวรับสำคัญบริเวณ 1,760 จุดก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับและทำให้ดัชนีรีบาวด์กลับขึ้นมาได้ค่อนข้างดีและปิดลบเพียง 1.21% ณ สิ้นวันซึ่งถือว่าดีกว่าภูมิภาค สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายขายสุทธิ 4,444 ลบ.และ 2,199 ลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Net Short ใน Index Futures ต่อเนื่องอีก 28,348 สัญญา) ขณะที่รายย่อยยังเป็นฝ่ายซื้อสุทธิถึง 7,594 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะรีบาวด์ขึ้นไปทดสอบ 1,810 จุดบวกลบจากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนตลายมากขึ้นหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯเริ่มดีดกลับแรง อย่างไรก็ตามภาวะตลาดยังผันผวนค่อนข้างสูง โดยราคา Commodity ยังปรับตัวลงแรงทั้งน้ำมันและถ่านหิน และยังต้องจับตาดูประเด็นการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯซึ่งมีเส้นตายวันพรุ่งนี้ เราคาดว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic Play และจ่ายปันผลสูงน่าจะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงนี้ ส่วนจังหวะตลาดแกว่งลงแรงเรายังมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานรอบใหม่
กลยุทธ์ : พักเงินในหุ้น Domestic Play ที่จ่ายปันผลสูง//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือน ก.พ. : AMATA, BBL, BCH, MGT, SAPPE
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่น US$1,423ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$1,122 ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$70ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเวียดนาม US$183ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคชั่วคราวหลังจากตลาดหุ้นภูมิภาคดิ่งลงหนักในช่วง 2 วันก่อนหน้า
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> KKP <<
- KKP ยังโดดเด่นในแง่ของปันผล จากเงินกองทุนที่แข็งแกร่งในระดับเกือบ 18% ซึ่งเราคาดงวด 2H17 ที่ 4 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 5% จากการถือหุ้นไม่ถึง 3 เดือน ทำให้มีความทนทานต่อความผันผวนของตลาดในช่วงนี้เป็นอย่างดี
- เราคาดกำไรสุทธิปีนี้ 6 พันลบ. +5% Y-Y จากการขยายตัวของสินเชื่อและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมโดยเฉพาะธุรกิจตลาดทุนและด้าน IB โดยยังไม่รวม Upside จากกำไรและรายได้การขายสินทรัพย์ SAM ซึ่งอาจเกิดขึ้นหากเศรษฐกิจดีขึ้นตามคาด
- แนะนำซื้อเพื่อรับปันผล ราคาเป้าหมาย 85 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็ว เป็นบวกต่อการเคลื่อนไหวของ SET ในระยะสั้น ตามความสัมพันธ์ในอดีตที่ผกผันกัน และเป็นลบกับหุ้นส่งออกที่ฟื้นตัวก่อนหน้านี้ทั้งอิเล็กทรอนิกส์และเกษตรอาหาร โดยหุ้นนำเข้าที่มีโอกาสได้รับความสนใจในการเก็งกำไรอีกครั้ง เช่น ปิโตรเคมี (PTTGC, IRPC) สินค้าไอที (SYNEX, COM7, IT) และ FTE THMUI MGT
(0) กลุ่มท่องเที่ยว มัลดีฟส์ประกาศภาวะฉุกเฉิน 15 วันจากวิกฤตการเมือง เราคาดว่า CENTEL ถูกกระทบมากที่สุดเพราะมีรายได้จากมัลดีฟส์ 20% ของรายได้โรงแรม และ 10% ของรายได้รวม ขณะที่ MINT กระทบจำกัดจากธุรกิจที่กระจายตัวทั่วโลก ส่วน ERW ไม่ได้รับผลกระทบ เรายังชอบกลุ่มท่องเที่ยว ราคาหุ้นที่ปรับลงมองเป็นโอกาสซื้อ MINT (ราคาเป้าหมาย 48 บาท) และ CENTEL (ราคาเป้าหมาย 54 บาท) ส่วน ERW ยังเต็มมูลค่า (ราคาเป้าหมาย 8 บาท)
(+) INTUCH กำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ที่ 1,755 ลบ. -40% Q-Q, -32% Y-Y จากการตั้งด้อยค่าดาวเทียมไทยคมกว่า 3 พันลบ. ถ้าตัดรายการนี้ออก กำไรปกติอยู่ที่ 3,114 ลบ.+7% Q-Q, +18% Y-Y ตามกำไรของ ADVANC ที่โตแข็งแกร่ง เราปรับกำไรปี 2018 ขึ้นเล็กน้อยเป็น 13,316 ลบ. +25% Y-Y สะท้อนกำไรพิเศษจากการขาย CSL ของ THCOM ส่วนกำไรปกติคาดโตครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ +5% Y-Y ทั้งนี้ INTUCH ประกาศจ่ายปันผลงวด 2H17 ที่ 1.46 บาท/หุ้น คิดเป็นเป็นผลตอบแทน 2.6% ขึ้น XD 9 เม.ย. 18 และด้วยราคาปัจจุบันที่ Discount จาก NAV มากถึง 23% เราจึงยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 67.50 บาท
(+) ITEL ผู้บริหารคาดประมูลเน็ตชายขอบรอบ 2 ปลายเดือนนี้ มูลค่า 1.8 พันลบ. ใกล้เคียงกับที่ได้ไปรอบแรก เราคาดว่า ITEL มีโอกาสได้งานสูงเพราะเฟสแรกสามารถติดตั้งได้ตามเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มอ่อนตัวลง จากการแข่งขันประมูลงานและต้นทุนในการเตรียมพื้นที่ที่สูงกว่าคาด อีกทั้ง รายได้จากการให้เช่าโครงข่ายและดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 2 ก็มาช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เราจึงมีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2017-2018 ลงจากเดิมราว 23-26% เหลือ 101 ลบ. (+51% Y-Y) และ 150 ลบ. (+48% Y-Y) ส่งผลให้ราคาเป้าหมายลดลงจาก 7.70 บาทเหลือ 6.60 บาท แต่ยังคงคำแนะนำซื้อ จากแนวโน้มกำไรที่โตสูง และมีโอกาสได้งานด้านวางระบบ Security มากขึ้น
(0) EPG แนวโน้มกำไร 3Q18 (ต.ค.-ธ.ค. 2017) ต่ำกว่าที่เคยคาดเพราะถูกกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น และการบริโภคที่ยังฟื้นไม่เต็มที่ โดยคาดกำไร -16% Q-Q, -26% Y-Y เหลือ 244 ลบ. เราคาดว่าค่าเงินบาทและต้นทุนวัตถุดิบจะกระทบอีกระยะ แต่ถ้าการจับจ่ายเร่งตัวขึ้นจะสามารถผลักไปในราคาขายเพื่อลดผลกระทบได้ เราปรับประมาณการกำไรปี 2018-19 ลงโดยปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลง และพบว่ากำไรในปี 2018 (สิ้นสุด มี.ค. 2018) ลดลง 16% Y-Y (เดิมคาด +5% Y-Y) แต่จะกลับมาฟื้นตัวในปี 2019 (สิ้นสุด มี.ค. 2019) คาด +30% Y-Y ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 14 บาทจาก 16 บาท ยังคงแนะนำซื้อ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 ก.พ.
|
- จีน: ดุลการค้า (ม.ค. 18)
|
8 ก.พ.
|
- อังกฤษ: ประชุม BOE คาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5%
|
9 ก.พ.
|
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ
|
14 ก.พ.
|
- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อและยอดค้าปลีก (ม.ค. 18)?
|
- (+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวผันวนโดยปรับตัวลงแรงก่อนที่จะย้อนกลับขึ้นมาปิดบวกได้เฉลี่ยกว่า 2% หลังจากที่ร่วงแรง 2 วันติดต่อกัน
- (-) ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดลบแรงต่อเนื่องเฉลี่ยกว่า 2% จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นลบหลังนักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนัก
- (+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้สามารถรีบาวด์ได้จากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายมากขึ้นหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯพลิกมาปิดบวกค่อนข้างแรง
- (+) ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 31.44-31.55 บาท/ดอลลาร์
- (-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. ลดลง 0.76 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 63.39 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยยังถูกดดันจากนักลงทุนที่เทขายสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 7.00 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,329.50 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มที่ยังคงกดดัน
ข่าวเด่น