สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ก.พ.61) ที่ระดับ 24,538.06 จุด ลดลง 70.92 จุด หรือ -0.29% ขณะที่ดัชนีแนสแด็กปิดที่ระดับ 7,257.87 จุด เพิ่มขึ้น 77.31 จุด หรือ -1.08% และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 2,691.25 จุด เพิ่มขึ้น 13.58 จุด หรือ 0.51%

    - ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ เป็นผลมาจากนักลงทุนขายหุ้นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตสินค้า ลดทอนแรงซื้อหุ้นในกลุ่มบริการด้านสุขภาพและโรงพยาบาล หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียมในอัตรา 10% โดยราคาหุ้นเจเนอรัลมอเตอร์ส หรือ จีเอ็ม ลดลง 1% และราคาหุ้นโบอิ้งลดลง 1.4% หลังจากลดลงมาแล้ว 4% และ 3.5% ในการปิดการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักและเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ 
   - ประธานาธิบดีทรัมป์มีแนวคิดที่จะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าสำหรับรถยนต์นำเข้าจากสหภาพยุโรป หรือ อียู เนื่องจากมองว่า เป็นส่วนหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้ามูลค่ามหาศาลในแต่ละปี สะท้อนถึงการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงมากกว่าที่คาดกันไว้
   - นักวิเคราะห์เตือนว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดกระแสกีดกันทางการค้าขึ้นในวงกว้าง