คาดหุ้นไทยขึ้นกับปัจจัยพิเศษเฉพาะตัว
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : วันนี้ มีการอ่านคำตัดสินศาลฎีกาคดีหงสาของ BANPU และ BPP เวลา 9.00 น. PTT ขึ้นเครื่องหมาย XD จ่ายปันผล 12 บาท หากปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายจะมีผลกระทบให้หุ้นลบ 3.4 จุด อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศจะช่วยหนุนให้หุ้นไทยไม่ติดลบต่อมากนัก คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวในวันนี้ 1,802-1,820 จุด มีแนวโน้มรีบาวด์ นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายหุ้นไทยและมีสถานะขายสุทธิในตลาดอนุพันธ์ เรายังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นหลักในกลุ่มพลังงานและค้าปลีกขนาดใหญ่ไว้ก่อน ได้แก่ PTT, PTTGC, IRPC, CPALL คาดว่าพา SET ผ่านไปถึง 1,850 จุด ณ สิ้นไตรมาสนี้ได้ เราคาดว่า PTT จะเป็นหุ้นหลักที่พาดัชนีขึ้นต่อไปได้ในปีนี้ เนื่องจาก Outlook สดใสขึ้นมาอย่างมาก (เรามีบทวิเคราะห์ PTT ออกไปเมื่อวานนี้) ส่วนหุ้นเล็กเข้าซื้อเก็งกำไรสั้น ๆ เลือก TTCL แนะนำเก็งกำไร รอขายแถว 8.00 - 9.00 บาท เล่นรอบเนื่องจากปรับตัวลงมากเกินไป
Stock Comment
BCP เลือกเป็น Pick of the day
PTTGC ราคาหุ้นปรับตัวลงมามากเกินไปหลังการจ่ายปันผล มองเป็นโอกาสซื้อ ยังเลือกหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเฉพาะบริษัทในเครือภายใต้กลุ่ม PTT เป็นหุ้นหลักสำหรับการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
TTCL แนะนำเป็นเก็งกำไร ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากเกินไป เนื่องจากเรามองว่าเฉพาะธุรกิจไฟฟ้า Ahlone 120MW ที่ประเทศเมียนมาร์ยังสามารถ contribute กำไรสุทธิต่อปีให้ TTCL ได้ 240-300 ล้านบาททุก ๆ ปี หากไม่รวมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งมีความกังวลหลังผู้สอบบัญชีให้ความเห็นอย่างมีเงื่อนไขว่ามีรายได้คงค้างจะต้องรับรู้ต่อจากโครงการ Rock Salt บริษัทยังคงคาดว่าจะได้รับเงินค่าก่อสร้าง เนื่องจากผู้ว่าจ้างเป็นรัฐวิสาหกิจใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจไฟฟ้าที่มีในมือจะมีมูลค่ารวม 15 บาท จาก 1 โครงการปัจจุบัน และอีก 2 โครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้ง Backlog ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในมือราว 22,000 ล้านบาทแล้ว จาก PTTGC และ SCC คาดว่าราคาต่ำสุดของ TTCL จะหยุดที่ 6.00-7.20 บาท แต่เราคาดว่าจะปรับลดราคาเป้าหมายจาก 25 บาท ลงเหลือเพียง 12.60 บาท โดยคิดมูลค่าจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างให้เป็น ติดลบ 1.40 บาท คงเหลือแต่ธุรกิจไฟฟ้า 3 โครงการ คือ Ahlone 120MW(5 บาท), Ahlone ส่วนต่อขยาย 356MW (5 บาท) และโครงการ Solar Farm/Solar Roof Top ในไทยและในญี่ปุ่น รวม 40-45 MW (4 บาทต่อหุ้น)
หุ้นเด่นวันนี้ : BCP (ปิด 40.25 บาท; ซื้อ; AWS TP 46.00 บาท)
BCP ประกาศผลประกอบการปี 2560 มีกำไรสุทธิ 5,778 ล้านบาท EPS 4.20 บาท เพิ่มขึ้น 21%YoY ซึ่งมี EBITDA รวมมากถึง 13,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%YoY มีที่มาจากธุรกิจ Refinery: Marketing: BCPG: Bio Base Product: Natural Resources เท่ากับ 56%:17%:23%:4%:2% ตามลำดับ ธุรกิจดาวรุ่งในปี 2560 คือ Refinery กับ BCPG ซึ่ง contribute EBITDA มากถึง 7,600 ล้านบาท และ 3,088 ล้านบาทตามลำดับ แต่ในปี 2561 คาดว่าธุรกิจ Refinery อาจจะอ่อนกำลังลง เนื่องจากมี Planned Shutdown 45 วัน และปริมาณการกลั่นน้ำมันลดลงจาก 111,000 บาร์เรลต่อวัน เหลือ 100,000-102,000 บาร์เรลต่อวัน แต่คาดว่าจะถูกชดเชยด้วยธุรกิจ Marketing และ Bio Base Product ที่ฟื้นตัวจากภาวะที่อ่อนแอในปี 2560 เรายังคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2561 ที่ราว 5,800 ล้านบาท หรือ EPS 4.20 บาท ทรงตัวจากปีก่อน และให้ราคาเป้าหมายที่ 46 บาท อิงค่า PER 11 เท่า แนะนำซื้อ
Price Pattern ของ BCP ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 41.75 บาทเป็นอย่างน้อย และมีเป้าหมายสำคัญถัดไปอยู่ที่ 45.75 บาท ทั้งนี้ BCP มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 39.50 บาท(Resistance: 40.50, 40.75, 41.25; Support: 40.00, 39.50, 39.25)
ปัจจัยในประเทศ :
- SCB (ราคาปิด 148.50 บาท; ซื้อ; AWS TP: 167 บาท) กำลังเจรจากับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายหนึ่งในสหรัฐ หวังช่วยหนุนธุรกิจออนไลน์แบงก์กิ้งของธนาคาร การเจรจานี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางปี 2561 (บางกอกโพสต์) ความเห็น: การเจรจาดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์ Transformation ส่วนหนึ่งของ SCB ที่จะมองหาพาร์ตเนอร์มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธนาคารและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางสภาวะอุตสาหกรรมธนาคารที่เปลี่ยนไป
- ADVANC (ปิด 196.50 บาท; BUY; AWS TP 219.00 บาท) ADVANC ลงทุน 787 ล้านบาทผ่านบริษัท แอดวานซ์ mPAY เพื่อเข้าถือหุ้น 33.3% ของบริษัท Rabbit Line Pay ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินเพื่อสร้างแรงผลักดันให้ผู้คนใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ความเห็น : การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือให้กับลูกค้าของเอไอเอสเนื่องจากแพลตฟอร์มของ Line มีประโยชน์กับทุกฝ่ายเพราะคนส่วนใหญ่ใช้งานและมีแอพพลิเคชั่นอยู่ในโทรศัพท์อยู่แล้ว
ตลาดต่างประเทศ :
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ อาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธนาคาร หลังจาก ปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณผ่านการทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐอาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม อย่างน้อยที่สุดสำหรับแคนาดาและเม็กซิโก หากมีการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ที่เป็นธรรม
สินค้าโภคภัณฑ์ :
- ราคาน้ำมันดิบ : ปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% โดย WTI พุ่งขึ้น 1.32 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 62.57 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ เพิ่มขึ้น 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 65.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับรายงานคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจนถึงปี 2566 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวการปิดแหล่งน้ำมัน เอล ฟีล ในประเทศลิเบีย IEA คาดการณ์ว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สหรัฐจะหลุดจากรายชื่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยจีนและอินเดียจะครองตำแหน่งดังกล่าว ขณะที่การนำเข้าน้ำมันในเอเชียจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงปี 2566 โดยตะวันออกกลางจะยังคงเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย แต่จากการที่จีนได้เพิ่มการกลั่นน้ำมัน ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐส่งออกน้ำมันดิบมากขึ้นเช่นกัน
ข่าวเด่น