กลยุทธ์วันนี้ >> ยังเน้นสะสมหุ้นพื้นฐานเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัวในแดนบวกได้ในช่วงครึ่งเช้า ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเริ่มมีแรงขายออกมาหนาแน่นรวมถึงการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่หลายๆตัว ทำให้ดัชนีปิดลบเกือบ 10 จุด ณ สิ้นวันซึ่งแย่กว่าที่เราประเมิน แรงขายส่วนใหญ่มาจากรายย่อยราว 1.4 พันลบ. ส่วนนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 1.2 พันลบ. และ Net Long ใน Index Futures ราว 3,000 สัญญา
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET จะแกว่งตัว Sideways วันนี้เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ขณะที่แรงกดดันวันนี้มาจากประเด็นแกรี่ โคห์น ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวประกาศลาออกหลังจากทรัมป์เดินหน้าการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม เรามองตลาดยังอยู่ในช่วงการแกว่งพักฐานโดยประเมินกรอบล่างที่ 1,790-1,785 จุดซึ่งเรามองว่าเป็นระดับที่น่าสนใจในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเพิ่มเติม และคาดว่าดัชนีจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะถัดไปจากภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่งในปีนี้
กลยุทธ์ : ยังเน้นทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$263ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$146ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลเข้าไทย US$37ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$60ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาค หลังที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งไม่เห็นด้วยต่อมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กฯประกาศลาออก
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> MINT <<
- คาดกำไรปกติ 1Q18 โตแข็งแกร่งและจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี จาก Peak Season ของการท่องเที่ยวในไทย
- ส่วนทั้งปี 2018 คาดโตทุกธุรกิจ จากการมุ่งเพิ่มความสามารถในการทำกำไร เราคาดกำไรปกติทำ New High +20% Y-Y อยู่ที่ 6.5 พันลบ.
- ราคาหุ้น -11% YTD ไม่สอดคล้องกับทิศทางการเติบโต จึงมองเป็นจังหวะซื้อลงทุน ราคาเป้าหมาย 48 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) เงินบาทกลับมาแข็ง จาก Dollar Index ที่พลิกมาอ่อนตัวลง ขณะที่ กระแสเงินกลับมาไหลเข้าชั่วคราว โดยเงินบาทยังเคลื่อนไหวทรงตัวที่กรอบล่างเดิมแถว 31.20-35 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นบวกกับกลุ่มนำเข้าและลบกับกลุ่มส่งออก เช่น เกษตร อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์
(+) ROBINS จากประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ บริษัทเปิดเผยแผนการเติบโตใน 5 ปีข้างหน้ามีความ Aggressive ด้วยการเปิดสาขาใหม่ปีละ 2-3 แห่ง และเพิ่มสัดส่วน Private Brand เป็น 20% ในปี 2022 จาก 11.3% ในปี 2017 แต่สำหรับเป้าปี 2018 กลับ Conservative กว่าที่คาด โดยตั้งเป้า SSSG เพียง 0%-1% และรายได้รวมโตเพียง 3% เราจึงปรับลดกำไรสุทธิปีนี้ลง 3% เหลือ 3.1 พันลบ. +13.5% Y-Y จากเดิมคาด +16.2% Y-Y และปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 78 บาท จาก 85 บาท ราคาปัจจุบันคิดเป็น PE2018 เพียง 22.7 เท่า ยังแนะนำซื้อลงทุน
(0) MAJOR กำไรสุทธิปี 2017 ทำได้เพียงใกล้เคียงปีก่อน ส่วนกำไรปกติลดลง โดย 4Q17 ลดลงมาก Q-Q, Y-Y ต่ำกว่าเราและตลาดคาด เราปรับกำไรปี 2018-2019 ลง 10% แม้คาดกำไรปกติปีนี้กลับมาดีขึ้น โดยมองแนวโน้มกำไรปกติ 1Q18 Flat Y-Y แต่ฟื้น Q-Q และคาด Gross margin ธุรกิจโฆษณาดีขึ้นใกล้ระดับปกติ และเพิ่มมากขึ้นใน 2Q18 ที่เป็นหน้าหนังฮอลลีวู๊ดและมีหนังไทยเช่น “หลวงพี่แจ๊ส 5G” เราปรับราคาเป้าหมายปี 2018 ลงจาก 32 บาท เหลือ 28.50 (DCF) คิดเป็น PE ~24 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต และคาด Dividend yield 4% ต่อปี ปรับคำแนะนำขึ้นเป็นถือ จากเดิมชะลอการลงทุน
(+) GFPT เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของราคาไก่ในประเทศ จากข่าวจีนอนุญาต 7 โรงงานไทย (GFPT CPF TFG) ให้ส่งออกชิ้นส่วนไก่ไปที่จีนได้ โดยคาดราคาไก่จะฟื้นช่วง 2Q18-3Q18 ถือเป็น Sentiment บวกต่อราคาหุ้น ส่วนแนวโน้มกำไรปีนี้ไม่สดใสนักคาด +5.6% Y-Y เพราะเจอทั้งบาทแข็ง ราคาวัตถุดิบขึ้น และค่าแรงแพง แต่ราคาหุ้นก็ปรับลงมากจน Valuation ถูก จึงยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 18 บาท
(+) PDG เรากลับมาแนะนำซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเหลือ 4.50 บาท จาก 4.70 บาท (อิง PE เฉลี่ยที่ 15 เท่า) เพื่อสะท้อนต้นทุน PET ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เราคาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q-3Q17 ภาพปีนี้จะสดใสขึ้น จากคำสั่งซื้อขวด PET ล่วงหน้าที่ฟื้นในทุกกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะ TVO ที่ดีต่อเนื่องใน 1Q18 ขณะเดียวกัน การเริ่มผลิตหลอดพรีฟอร์มจะหนุนให้กำไรเร่งตัวใน 2H18 เราคาดกำไรปีนี้กลับมาโต 8% Y-Y อยู่ที่ 80 ลบ. และปีหน้าโต 12% Y-Y อยู่ที่ 90 ลบ. จุดเด่นของ PDG ยังอยู่ที่ปันผลสูงสม่ำเสมอ 5-6% ต่อปี
(0) ORI เราปรับลดกำไรปกติปีนี้ลงจากเดิม 12% เหลือ 2.6 พันลบ. (+92% Y-Y) จากการปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลงเหลือ 36% จาก 45% เพราะผลจากการโอนโครงการ Park24 เฟส 1 ต่อเนื่องใน 1H18 ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเพียง 15% แต่เราปรับลด SG&A/Sales ลงเล็กน้อย จากผลของ Economy of scale และการหันไปใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ราคาเป้าหมาย (อิง PE 18 เท่า) ลดลงเหลือ 24 บาท จาก 27 บาท ยังคงแนะนำซื้อ จากแนวโน้มกำไรปี 2018-19 ที่โตสูงเฉลี่ย 67% ต่อปี
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: ดุลการค้า (ม.ค.), ตัวเลขจ้างงานของ ADP (ก.พ.), Fed Beige Book
- ยูโรโซน: 4Q17 GDP
|
8 มี.ค.
|
- ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.พ.)
- ญี่ปุ่น: 4Q17 GDP
- จีน: ดุลการค้า (ก.พ.)
- ยูโรโซน: ประชุม ECB
|
9 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.พ.)
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
|
13 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.), ประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี
|
14 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: ยอดค้าปลีก (ก.พ.)
|
- (+) ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายราย ได้ออกมาคัดค้านมาตราการที่จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม
- (+) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังจากตลาดคลายความกังวลทั้งในเรื่องการเลือกตั้ง สงครามทางการค้าจากสหรัฐและความกังวลในเกาหลี
- (0) ตลาดเอเชียเช้านี้เปิดผสมผสาน แม้ว่าตลาดจะคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากรัฐบาลเกาหลีเหลือและใต้ได้ตกลงที่จะจัดประชุมสุดยอดผู้นำครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
- ค่าเงินบาทล่าสุดยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.30 – 31.40 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อวานหลังดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อคืนนี้
- (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.03 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 62.60 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากตลาดยังกังวลเรื่องสต็อคน้ำมันดิบของสหรัฐ
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ปรับตัวขึ้น 15.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,335.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังแนวความคิดเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้ากลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในสหรัฐ
ข่าวเด่น