กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic Play 2018SET Target : 1900
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวบวกได้ดีตามตลาดหุ้นภูมิภาคตามคาดหลังจากสหรัฐฯประกาศตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานออกมาในเชิงบวก โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและทำให้ดัชนีเหนือระดับ 1,800 จุดได้ ณ สิ้นวัน สถาบันในประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิสูงถึง 5.4 พันลบ. ส่วนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 600 ลบ. (นักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มยัง Net Long ใน Index Futures อีกคนละราว 5,000 สัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET จะแกว่งตัว Sideways พักตัวระยะสั้นหลังจากที่ปรับตัวขึ้นแรงวานนี้ แรงกดดันส่วนใหญ่มาจากปัจจัยต่างประเทศโดยล่าสุดทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมแล้ว ซึ่งทำให้ตลาดยังกังวลต่อผลกระทบหากประเทศอื่นมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯกลับ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มพลิกมาปรับลงทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานน่าจะลดความร้อนแรงลง เราจึงมองว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic Play น่าจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดในวันนี้จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง
กลยุทธ์ : ระยะสั้นเก็งกำไรกลุ่ม Domestic Play//ระยะกลาง-ยาวยังถือต่อ
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคหนาแน่น US$810ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$495ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลเข้า US$20ล้าน ขณะที่ไหลออกจากฟิลิปปินสื US$14ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลังประธานาธิบดีสหรัฐได้ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมแล้ว
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> MTLS <<
- คงคำแนะนำซื้อลงทุน ราคาเป้าหมาย 51 บาท
- ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 13% ในรอบสัปดาห์ มาจากข่าวเดิมเมื่อ 6 เดือนก่อน เรื่องการถูกลูกค้ารายหนึ่งซึ่งเป็นคนของคู่แข่งฟ้องว่าเก็บดอกเบี้ยเกินกำหนด แต่ที่ผ่านมา MTLS ไม่เคยเก็บเกินกม.ที่ 15% ส่วนกม.ควบคุม Non-Bank เราคาดว่าไม่กระทบ เพราะคิดดอกเบี้ยต่ำสุดในระบบอยู่แล้ว
- คาดกำไร 1Q18 ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่ ทั้งปี 2018 คาด 3.6 พันลบ. +45% Y-Y
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) บอร์ดท่องเที่ยวมีมติเพิ่มคลัสเตอร์ท่องเที่ยวอีก 6 เขตจากเดิมที่มี 9 เขต ทำให้ครอบคลุมเกือบครบทั้งประเทศ โดยมีฝั่งทะเลตะวันตก หรือไทยแลนด์ริเวียร่า เทียบชั้นฝรั่งเศส-อิตาลี นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามสถานการณ์ท่องเที่ยวใน 2M18 มีนักท่องเที่ยว 7.11 ล้านคน +14.9% Y-Y ทำให้เกิดรายได้ 3.82 แสนลบ. +16.4% Y-Y และคาดว่ารายได้ทั้งปีจะเป็น 3 ล้านลบ. ถือเป็นประโยชน์ระยะยาวต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทั้ง AOT, AAV, ERW, CENTEL ( 2 โรงแรมนี้ได้ประโยชน์มากกว่า MINT)
(+) SAPPE บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้ 10%-15% Y-Y จากการโตต่อเนื่องของตลาดส่งออกที่มีสัดส่วน 64% ของรายได้รวม ส่วนในประเทศตั้งเป้าโตเพียง 5% เพราะกำลังซื้อยังฟื้นช้า โดยมีแผนออกสินค้าใหม่ทั้งเครื่องดื่มเยลลี่ และ Healthy Snack เราคาดว่า SAPPE จะใช้สิทธิซื้อหุ้น All Coco เพิ่มจาก 40% เป็น 51% เพราะแนวโน้มธุรกิจดีกว่าคาด อย่างไรก็ตาม จากกำไรปี 2017 ที่น่าผิดหวัง เราจึงปรับลดกำไรสุทธิปีนี้ลง 13% เหลือ 438 ลบ. (+9% Y-Y) หากไม่รวม fx คาดกำไรปกติ +15% Y-Y และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 29 บาท จาก 38 บาท ยังคงคำแนะนำซื้อ
(+) ORI เริ่มต้นปีด้วย SOLD OUT จาก Online Booking โครงการ Knightsbridge 3 แห่ง รวม 1.5 พันลบ. หนุน Presales +36% Y-Y คาดยอดขายเพิ่มอีก 4 พันลบ. หลังเปิดขายอย่างเป็นทางการ 24 มี.ค. เรายังชอบ ORI ในแง่ของกำไรปกติปีนี้ ที่จะโตเด่นสุดในกลุ่ม +92% Y-Y เป็น 2.6 พันลบ. โดยมี Backlog รองรับแล้ว 79% ราคาหุ้นที่ปรับลง 19% ใน 4 วันทำการ สะท้อนมาร์จิ้นของ Park 24 ที่ต่ำไปแล้ว แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 24 บาท
(+) COMAN ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 26% ใน 2 สัปดาห์ จากความกังวลในการขาย MSL ซึ่งแม้จะเป็นลบกับกำไรที่หายไประยะสั้น แต่เป็นบวกกับการเติบโตในระยะยาว เพราะทำให้เป้าหมายธุรกิจของ COMAN ที่ต้องการเป็นผู้นำซอฟแวร์ด้านท่องเที่ยวมีความชัดเจน และไม่ต้องกังวลกับการถูกตั้งด้อยค่าความนิยม รวมถึงช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อใช้ M&A ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เราปรับราคาเป้าหมายลงจาก 9 บาทเหลือ 7 บาท เพื่อสะท้อนการขาย MSL โดยยังไม่รวม Upside จาก M&A ราคาตอนนี้คิดเป็น PE2018 และ PBV ที่ 23 เท่า และ 1.6 เท่า ต่ำกว่าภูมิภาคที่ 33 เท่า และ 5 เท่า อยู่มาก จึงคงคำแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว
(0) BEAUTY กลุ่มเจ้าของเดิมขายหุ้นให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่รวม 140 ล้านหุ้นหรือ 4.66% ของทุนชำระแล้ว ที่ราคา 18.80 บาท ต่ำกว่าราคาในกระดาน 7% โดยหลังจากการขาย Big Lot เมื่อคืน ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของคุณหมอและภรรยาเหลืออยู่ 21.23% เรามีมุมมองเป็นกลาง โดยเมื่ออิงครั้นที่กลุ่มเจ้าของเดิมขายหุ้นลักษณะนี้ ตอนนั้น Discount 10% ราคาหุ้นลง 15% แต่ครั้งนี้ Discount ไม่มาก และกำไรยังอยู่ในแนวโน้มการเติบโตที่ดี จึงไม่กระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม ราคาปัจจุบันยังเต็มมูลค่าที่ 20.50 บาท เราจึงคงคำแนะนำขาย
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
13 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.), ประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี
|
14 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: ยอดค้าปลีก (ก.พ.)
|
15 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: ดุลการค้า (ก.พ.)
|
16 มี.ค.
|
- สหรัฐฯ: ยอดอนุญาตก่อสร้างและยอดสร้างบ้านใหม่ (ก.พ.)
|
19 มี.ค.
|
- ญี่ปุ่น: ดุลการค้า (ก.พ.)
- ยูโรโซน: ดุลการค้า (ม.ค.)
|
- (-) ตลาดดาวโจนส์ปรับตัวลงเล็กน้อยจากประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐได้ออกมาให้ความเห็นไปในทางลบ และอาจมีมาตราการตอบโต้หลังจากการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของปธ.ทรัมป์
- (+) ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ รวมไปถึงการพุ่งขึ้นของหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคในเยอรมัน
- (-) ตลาดหุ้นออสเตรเลียและญี่ปุ่นเช้านี้ปรับตัวลงเล็กน้อย หลังเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้มีการทบทวนเรื่องการให้วีซ่าผู้อพยพในออสเตรเลีย ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในญี่ปุ่นเองก็เริ่มที่จะร้อนแรงขึ้น
- () ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักของโลก ล่าสุดเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.25 – 31.30 บาท/ดอลลาร์
- (-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ปรับตัวลง 0.68 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 61.36 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐในเดือนเม.ย.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 3.20 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,320.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ข่าวเด่น