ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน เมื่อวานที่ผ่านมาตลาดหุ้นผันผวน (23/03/61)


 Market summary

  เมื่อวานที่ผ่านมาตลาดหุ้นผันผวน โดยในช่วงเช้ามีแรงซื้อเด่นใน PTT group นำโดย PTT, PTTEP, PTTGC อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มธนาคารนำโดย KBANK, SCB และเกิด Sell in fact ในหุ้น IVL และกลุ่ม TV digital ยังคงเผชิญกับแรงขายต่อเนื่องนำโดย WORK, BEC และ MONO ณ.สิ้นวัน  SET ปิดที่ระดับ 1,798.5 จุด (-2.8 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.0 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวานที่ผ่านมา 5.6 หมื่นล้านบาท 
  นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยที่ 948 ล้านบาท แต่เปิด Short  SET50 index future ที่ 2,593 สัญญา  

Investment theme
  สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มรุนแรงมากขึ้น / แรงขายกลุ่มธนาคาร คาดกังวลผลประกอบการ 1Q18: 2-3 วันที่ผ่านมากลุ่มธนาคารปรับตัวลง คาดว่าส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลการตั้งสำรองลูกหนี้และเพื่อรองรับ IFRS9 (คาดทั้งปี 140bps) ส่งผลให้ Credit cost ของกลุ่มน่าจะยังอยู่ในระดับ ในขณะที่ Loan growth (%) อาจโตประมาณ 3-4% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดทั้งปีประมาณ 6-7% เป็นผลกระทบจากภาคเกษตรและ SME ที่ยังไม่ฟื้นตัว อีกทั้งจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงทั่วประเทศในวันที่ 1 เม.ย.นี้ เรามีมุมมองเป็นกลางกลับกลุ่มธนาคารและมองว่าราคาหุ้น KBANK, SCB ปัจจุบันยังไม่น่าสนใจ โดยKBANK ซื้อขายบน PBV 1.38x สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ และ SCB ยังคงต้องเผชิญกับค่าใช้จ่าย OPEX ที่เพิ่มขึ้น 10% เป็น 6.3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม เราแนะรอ “ซื้อ” เมื่อ BBL อ่อนตัวจากประเด็น การเริ่มรับรู้รายได้จากการขายประกัน AIA ใน 2Q18 และ Quota ของ NVDR เริ่มกลับมาเพิ่มอีกครั้งประมาณ 50 ล้านหุ้น (จาก 660 ล้านหุ้น)
  Investment Theme: หากวันนี้ SET ปิดต่ำกว่าแนวรับบริเวณ 1,795 จุด แนะนักลงทุน Take profit / cut loss บางส่วนพร้อมเลี่ยงการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่สภาพคล่องซื้อขาย มองแนวรับบริวเณ 1,760 และ 1,780

Big issue
  เมื่อคืนที่ผ่านมา –  PBOC ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Reverse repo 7 วันเป็น 2.55% (จาก 2.50%) พร้อมอัดฉีดเงินเข้าระบบกว่า 1.0 หมื่นล้านหยวน  / Trump เตรียมพิจารณาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าชนิดอื่นจากจีน BoE คงดอกเบี้ย 0.50% 
  บทวิเคราะห์  : NWR, PRM, SYNTEC

  กลยุทธ์การลงทุนรับมือ Trade war
  เมื่อคืนที่ผ่านมา Trump ลงนามกฎหมาย Trade Act 1974 พิจารณาเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน พร้อมทำ Public hearing ในหลายๆ ประเด็น เป้าหมายเพื่อลดขาดดุลการค้ากว่า 0.5-1.0 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (จากปัจจุบันสูงกว่า 3.5 แสนล้านเหรียญ )
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เราคาดว่าประเทศที่มีสัดส่วน %Export / GDP สูงอย่าง Emerging market อาจได้รับผลกระทบ (ประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงกว่า 75%ของ GDP) โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐคิดเป็น 7%ของ GDP และเกินดุลการค้าสหรัฐประมาณ 1.7 หมื่นล้านเหรียญ เบื้องต้นในระยะสั้นเราประเมินผลกระทบจำกัดต่อเศรษฐกิจไทย แต่ในระยะกลางแนะดูรายละเอียดของการกีดกันประเภทสินค้า และการปิดสินค้าส่งออกจากเราไปสหรัฐ แต่มีโอกาสอาจเพิ่มการส่งออกไปจีน
  ผลกระทบต่อตลาดหุ้น แนะนำนักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้า, ผลิตภัณฑ์ส่งออก-นำเข้า อย่างกลุ่ม ยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก, ปิโตร และ อาหาร และหันมาลงทุนในกลุ่มบริการในประเทศ (service) ที่มองว่าได้รับผลกระทบจำกัดอย่าง ICT, โรงพยาบาล

Technical View 
  หากไม่สามารถยืน 1800 แนะนำชะลอการลงทุน  :  ดัชนีเปิดโดดขึ้นและแกว่ง Sideway Down ตลอดทั้งวัน แม้หุ้นกลุ่มพลังงานจะพยายามประคองดัชนีแต่กลุ่มธนาคารยังถูกแรงขายต่อเนื่อง เรายีงคงให้ยึด 1800 เป็นหลักในการตัดสินใจ หากหลุด 1800 แนะนำให้ชะลอการลงทุน แต่หากยืน 1800 แนะนำให้ Trading ในกรอบ 1800-1820 สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้น ให้ใช้แนวรับ 1793 ในการ Lock Profit หรือ Stop Loss ในรอบนี้
  กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: หลุด 1793 แนะนำ Lock Profit รอบนี้ แต่หาก Rebound แนะนำทยอยขายทำกำไรที่แนวต้าน  2) ไม่มีหุ้น: หากไม่หลุดแนวรับ 1793 อาจทยอยสะสมเพื่อลุ้นเล่น Rebound ระยะสั้น
  แนวรับ : 1793, 1780 แนวต้าน : 1810, 1820

  ปัจจัยต่างประเทศ: -
  ปัจจัยในประเทศ: จับตาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่มาส.ว.

หุ้นเทคนิค:
  KTC (B 265.00-268.00, Tp 282.00//296.00, Cut 263.00)
  CPALL (B 87.00, Tp 90.00, Cut 86.00)


บันทึกโดย : วันที่ : 23 มี.ค. 2561 เวลา : 09:43:39

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:53 am