กลยุทธ์วันนี้ >> ตลาดอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อ
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัว Sideways ได้ในช่วงครึ่งวันเช้าตามคาด ก่อนที่ช่วงบ่ายจะมีแรงขายออกมาต่อเนื่องและทำให้ดัชนีปิดลบถึง 17.59 จุด ณ สิ้นวัน นำโดยกลุ่มธนาคารจากความกังวลเรื่องฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินและ Big Lot ที่ต่ำกว่าราคากระดานของ CPALL-MAKRO รวมถึงประเด็นสนช.จะยื่นตีความที่มา สส. แรงขายส่วนใหญ่วานนี้มาจากฝั่งรายย่อย ขณะที่กลุ่มอื่นๆเป็นฝ่ายซื้อโดยเฉพาะสถาบันในประเทศ
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET มีโอกาสอ่อนตัวลงในช่วงแรกโดยจากความกังวลในกลุ่มธนาคารหลัง BBL และ KTB ประกาศฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินเช่นกัน แต่เราคาดหวังการ Rebound ของตลาดเนื่องจากมองกระทบไม่มาก ส่วนประเด็นการเลือกตั้งหากไม่มีความชัดเจน ย่อมกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แต่นั่นก็หมายถึงนโยบายภาครัฐสามารถดำเนินได้ต่อเนื่องเหมือนปัจจุบัน ขณะที่การปรับเพิ่ม GDP ของกนง. สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง เราจึงมองการปรับฐานของตลาดยังเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐาน โดยยังคงเน้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลักเช่นเดิม
กลยุทธ์ : ตลาดอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อ
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$663ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$319ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไทย US$31ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังไม่หมดไป
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> CPN <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 93 บาท
- ผลประกอบการจะสดใสตั้งแต่ 1Q18 เพราะคอนโด Escent แห่งแรกที่ระยองเริ่มโอนตั้งแต่ มี.ค. และรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากเซ็นทรัลโคราชและมหาชัยซึ่งเป็นฤดูจับจ่ายและท่องเที่ยว ชดเชยรายได้จาก CTW ที่ปิดปรับปรุงบางส่วน
- เบื้องต้นคาดกำไร 1Q18 +15% Q-Q, +2% Y-Y เป็น 2.8 พันลบ. กำไรในช่วงที่เหลือของปีอยู่ในทิศทางขาขึ้นจากคอนโดอีก 2 แห่งที่จะโอน และเปิดห้างใหม่อย่างน้อย 2 แห่ง ส่วนห้างที่ 3 คาดเผยภายใน 2Q18 ปัจจุบันมี PE 27 เท่า EV/EBITDA 19 เท่า สูงกว่า Regional peers ที่ 18 เท่าและ 13 เท่าตามลำดับ แต่ถือว่าเหมาะสม เพราะกำไรปีนี้ที่คาด +22% Y-Y สูงกว่าภูมิภาคที่ 15% Y-Y มาก
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) กลุ่มธนาคาร เราคาดผลกระทบสูงสุดของกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 7% สำหรับ KBANK ที่มี Market Share ใน Mobile Banking มากสุดราว 26% ของผู้ใช้ทั้งหมด ซึ่งคาดว่าะได้รับการชดเชยในระยะกลาง-ยาว จากค่าใช้จ่ายในการจัดการเงินสดและต้นทุนสาขาที่ลดลง และรายได้อื่นจากการใช้ platform ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ โดยปกติแล้วรายได้จากค่าธรรมเนียมโอนเงินข้ามธนาคารที่เคยจ่าย 25-30 บาทก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่อยู่ที่ตัวกลาง ไม่ได้เข้าแบงก์ทั้งหมด จึงกระทบไม่มาก ในส่วนของคำแนะนำสำหรับ KBANK ที่ราคาปรับตัวลงมากสุดวานนี้ เราเชื่อว่าผลกระทบไม่รุนแรง จึงยังคงประมาณการเดิม แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 264 บาท (แต่หากอิงผลกระทบที่ 7% ข้างต้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 235 บาท) ส่วนธนาคารอื่น เรายังคงประมาณการเดิมเช่นกัน ราคาที่ลงมองเป็นโอกาสซื้อ Top Pick ของกลุ่มยังเป็น KBANK และ BBL
(+) ธปท.ปรับเพิ่ม GDP ปี 2018 จากเดิม 3.9% เป็น 4.1% สิ่งที่ปรับเพิ่มมากสุดคือมูลค่าส่งออก (จาก 4% เป็น 7%) นำเข้า (จาก 7.5% เป็น 11.5%) และการลงทุนภาคเอกชน (จาก 2.3% เป็น 3%) แม้มีประเด็นการกีดกันการค้าแต่ธปท.มองผลกระทบไทยจำกัด การนำเข้าที่ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อการขยายลงทุนของเอกชน ขณะที่ปรับเงินเฟ้อลง สะท้อนว่าน่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายอีกระยะใหญ่แม้ว่าการคงดอกเบี้ยครั้งนี้จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ก็ตาม ภาพรวมถือว่าเป็นบวกต่อตลาดหุ้น
(+) ADB จากการประชุม Opp Day เมื่อวาน ผู้บริหารยังมั่นใจต่อการฟื้นตัวของกำไรในปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเม็ดพลาสติกคอมปาวด์ที่ใช้ในสายไฟ ซึ่งผลิตเต็มกำลังตั้งแต่ต้นปี และบริหารต้นทุนพีวีซีเรซิ่นได้สอดคล้องกับราคาขายมากขึ้น ขณะที่ กลุ่มกาวและยาแนวอาจถูกกระทบจากบาทแข็งอยู่บ้าง แต่ภาพรวมยังเป็นบวกจากมูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบที่สูงกว่ายอดส่งออก ส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ คาดเริ่ม เม.ย. 18 ที่กำลังการผลิต 200 ตัน/เดือน เราคาดกำไรสุทธิปีนี้ +139% Y-Y อยู่ที่ 69 ลบ. แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.30 บาท
(0) FSMART ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 11% วานนี้มีเงื่อนไขที่ต่างไปจากมุมมองเดิมของเราเมื่อ 2 วันก่อน คือ การยกเว้นค่าธรรมเนียมโอนเงิน เติมเงิน จ่ายบิล ผ่านช่องทาง Digital ของแบงก์ แต่เรามองกระทบสถานะในปัจจุบันค่อนข้างจำกัด เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของบริษัทยังเป็นระดับรากหญ้ารายได้ต่ำ ขณะที่คงคาดการณ์กำไร 1Q18 กลับมาฟื้น Q-Q และ Y-Y ส่วนกำไรทั้งปีคาด +18% Y-Y อยู่ที่ 640 ลบ. นอกจากนี้ ในเชิงของภาพการเคลื่อนไหว เราพบว่าราคาต่ำกว่าราคาเฉลี่ย 10 เดือนมากถึง 39% ถือเป็นระดับที่มีโอกาสถูก Cover Short ระยะสั้น คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปรับลงจากเดิม 15 บาท เป็น 13 บาท จากการปรับ L-T Growth เป็น 0% สะท้อนปัจจัยเสี่ยงมากขึ้นต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาว
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
31 มี.ค.
|
- จีน: PMI ภาคการผลิต (มี.ค.)
|
2 เม.ย.
|
- ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.)
- สหรัฐฯ: ISM ภาคการผลิต (มี.ค.)
|
3 เม.ย.
|
- ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง
|
5 เม.ย.
|
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ADP (มี.ค.)
|
- (-) หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวลงอย่างหนัก หลังจากมีข่าวว่าปธ.ทรัมป์จะควบคุมการผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมถึงอาจมีการเก็บภาษีมากขึ้น โดยหักล้างกับข้อมูลทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ที่ขยายตัวมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
- (+) ตลาดยุโรปส่วนใหญ่ปิดในแดนบวกหลังนักลงทุนเข้าเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์และสาธารณูปโภค จากที่เมื่อวานมีดีล M&A ในกลุ่มนี้
- (0) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสาน โดยญี่ปุ่นได้รับแรงบวกจากการจะเข้าเจรจากับเกาหลีเหนือ แต่ก็ถูกกดดันจากการร่วงลงของตลาดฮ่องกง
- () ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีกเล็กน้อยหลังตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.25-31.35 บาท/ดอลลาร์
- (-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 0.87 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 64.38 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังตัวเลขสต็อคน้ำมันดิบและปริมาณการผลิตต่อวันของสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 17 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,325 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและความกังวลในคาบสมุทรเกาหลีที่คลี่คลายลง
ข่าวเด่น