Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายเด่น นำโดยกลุ่ม (PTT, PTTEP, PTTGC) และกลุ่มโรงไฟฟ้ายังเผชิญกับแรงขายต่อเนื่องเช่น EA, BCPG, BGRIM, GULF, GPSC และกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP, SPRC, IRPC อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อในกลุ่มรถไฟฟ้าอย่าง BTS, BEM และกลุ่มสายการบินนำโดย BA, AAV, THAI โดยณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,765.2 จุด (-17.0 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 6.2 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 3.8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 478 ล้านบาท และกลับมาเปิด Short SET50 index future ที่ 727 สัญญา
Investment theme
Policy risk กดดันให้ SET เหลือ Sector ลงทุนน้อยลงเรื่อยๆ: ต้องยอมรับว่าการลงทุนในไตรมาสสองมีหลายปัจจัยกดดันจากทั้งต่างประเทศนำโดยเรื่อง Trdewar ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างที่สหรัฐเตรียมพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม โดยความเข้มข้นของมาตราการในครั้งนี้อาจรุนแรงขึ้น ภายหลังจีนได้ตอบโต้สหรัฐด้วยการขึ้นภาษีนำเข้ากว่า 128 สินค้าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในขณะที่ปัจจัยในประเทศนอกเหนือจากประเด็นความกังวลเรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง (เมื่อวานที่ผ่าน ประธานสนช.ยื่นร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการเลือกตั้งส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ซึ่งกรอบระยะเวลาที่ศาลจะวินิจฉัยทั้ง 2 ฉบับนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่า Roadmap การเลือกตั้ง ก.พ. 62 จะถูกเลื่อนหรือไม่) ตลาดหุ้นยังจะเผชิญกับความเสี่ยงเรื่องนโยบายของภาครัฐ (Policy risk) ที่ส่งผลกดดันในหุ้นมากกว่า 5 กลุ่ม นำโดยกลุ่ม TV-Digital, ICT, โรงกลั่น และพลังงานทดแทน ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะถูกพิจารณาในช่วง 1-2 สัปดาห์ต่อจากนี้ ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว เรามองว่า SET จะมีลักษณะ Sideway down ซึ่งยังไม่แนะให้ นักลงทุนเก็งกำไร และจะเห็นได้ว่าเมื่อกลุ่มมีให้ลงทุนน้อยลงเรื่อยๆ เม็ดเงินจะเริ่มวิ่งเข้าหากลุ่มใหม่ๆที่ YTD ติดลบและ Downside เริ่มจำกัด อทิ กลุ่มอสังหาและสายการบิน
Investment Theme: สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งตัวในกรอบ 1,760-1,780 จุด แนะนักลงทุนเปลี่ยนใช้กลยุทธ์ซื้อที่แนวรับ 1,760 และทยอยขายบริเวณแนวต้าน 1,780 และ 1,800 โดยแนะเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับ Policy risk นำโดยกลุ่ม TV Digital , กลุ่มโรงกลั่น, กลุ่มธนาคาร
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – SET เผย บจ.จ่ายปันผลปี 2560 รวมสูงกว่า 4.78 แสนล้านบาท (Yield 3.4%) / อังกฤษรายงาน PMI ภาคการผลิตสูงกว่าคาดที่ 55.1 / นายกชะลอการใช้มาตรา 44 ช่วยเหลือกลุ่ม TV Digital
Stock pick : CPF
CPF : เก็งกำไร 31.10 บาท/หุ้น
เราคาด CPF ได้ประโยชน์ทางอ้อมจาก Trade war เมื่อจีนตอบโต้สหรัฐด้วยการเก็บเพิ่มภาษีนำเข้าหมูจากประเทศสหรัฐ 25% คาดผลในระยะสั้น-กลางได้ประโยชน์ทางอ้อม 2 ประเด็นได้แก่ 1) ทำให้ราคาหมูในประเทศปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการนำเข้าหมูจากเวียดนามผ่านชายแดน และ 2) เป็นบวกต่อธุรกิจ Feed (อาหารหมู) ของ CPP (ปัจจุบันรายได้จาก CPP มีสัดส่วนสูงกว่า 15-20% ของรายได้รวม)
ในขณะที่จีนได้เปิดนำเข้าไก่จากประเทศไทยอีกครั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย CPF ถือเป็น 2 ใน 7 โรงที่ได้โควตาครั้งนี้ อีกทั้งล่าสุดราคาหมูในประเทศปรับตัวขึ้นเป็น 58.0 บาท/หุ้น (ทุน 52.0 บาท) ถือเป็น Sentiment บวก
คาดผลประกอบการจะเริ่มฟื้นตัวใน 2Q61 และเด่นในครั้งปีหลัง ในขณะที่ปัจจุบันมูลค่าหุ้น CPALL คิดเป็นมูลค่า 25.0 บาท/หุ้น กล่าวคือมูลค่าธุรกิจสัตว์ของ CPF ยัง Laggard อยู่มากเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน
Technical View
แรง Rebound ไม่ต่อเนื่อง ยังคงเสี่ยงหลุดแนวรับ 1760: ดัชนีไม่สามารถมีแรง Rebound ต่อเนื่องหลังเกิดแท่งเทียนคอนเฟิร์มสัญญาณ Hammer ทำให้ยังคงมีความเสี่ยงการปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1760 ประกอบกับ MACD ยังคงไม่สามารถ Rebound ผ่านแนวกดทับเส้น Downtrend ระยะสั้นให้จับตาแนวรับ 1760 เป็นหลักหากหลุด ดัชนีจะกลับมาเป็นแนวโน้มขาลงอีกครั้ง มองแนวรับที่ถัดไปที่ 1730-1740
กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: พิจารณาแนวรับ 1760 หากหลุดแนะนำขายทำกำไร หากไม่หลุดอาจเล่น Rebound สั้นๆ 2) ไม่มีหุ้น: พิจารณาแรงซื้อกลับที่แนวรับ 1760 หากมีนัย อาจใช้เป็นจังหวะเล่น Rebound
แนวรับ : 1760, 1740 แนวต้าน : 1750, 1780
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: -
ปัจจัยในประเทศ: -
หุ้นเทคนิค:
CPALL (B 87.00-87.50, Tp 90.00//92.00, Cut 86.00)
AOT (B 68.50, Tp 70.50, Cut 67.50
ข่าวเด่น