ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +46.34, NASDAQ +35.23, S&P+8.69, FTSE +11.11, CAC +5.15 และ DAX +20.48
หลังนายสตีเวน มนูชิน รมต.คลัง สหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า สหรัฐฯและจีนจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ก่อนที่จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้า ทำให้คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
อย่างไรก็ตามดัชนีลดแรงบวกในช่วงท้ายตลาด หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ FBI ตรวจค้นสำนักงานของนายไมเคิล โคเฮน ทนายความส่วนตัวของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมยึดเอกสารต่างๆ ซึ่งรวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนสูงถึง 130,000 USD ที่นายโคเฮนจ่ายให้กับนางสเตฟานี คลิฟฟอร์ด หรือที่รู้จักในชื่อสตอร์มมี แดเนียส์ นางเอกถูกระบุว่ามีความสัมพันธ์กับ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี’ 49 รวมถึงยึดเอกสารด้านภาษี ข้อมูลทางธุรกิจ และบันทึกการสนทนาระหว่างนายโคเฮน และปธน.โดนัลด์ ทรัมป์
ขณะที่อยู่ระหว่างรอ (1) ผลประกอบการ – 1Q/61 ของธนาคารรายใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน เชส ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก ในวันศุกร์นี้ (2) การเปิดเผยรายงานการประชุมเฟด (20 – 21/3/61) และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) - มี.ค. ในวันพุธนี้ (11/4/61) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของเฟด หลัง เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% เมื่อกลางเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน พ.ค. +US$1.36 อยู่ที่ US$63.42 ต่อบาร์เรล หลังข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดี และยังได้รับปัจจัยบวกจากการผลิตน้ำมัน - มี.ค. ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน อยู่ที่ 32.14 ล้านบาร์เรล/วัน โดยลดลง 250,000 ล้านบาร์เรล/วันจากก.พ. จากการส่งออกน้ำมันของอังโกลาที่ลดลง ปัญหาการผลิตน้ำมันในลิเบีย รวมทั้งปริมาณผลิตน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในเวเนซุเอลา
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$4.0 อยู่ที่ US$1,340.1 ต่อออนซ์ ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากเงินสหรัฐฯ อ่อนค่า รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +1,479 ล้านบาท ยอดสะสม-59,228 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 10 – 13 เม.ย. 61
10/4/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมี.ค.
(2) สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.พ.
11/4/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค.
(2) สต็อกน้ำมัน
(3) รายงานการประชุมเฟด (20 – 21/3/61)
12/4/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมี.ค.
(2) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
13/4/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนเม.ย.
ทิศทางตลาด
Sideway? คาดได้รับ Sentiment บวกจาก (1) ราคาน้ำมันที่ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่น่าสนใจ เช่น PTT และ PTTEP เป็นต้น (2) Fund Flow จากการกลับเข้ามาซื้อสุทธิของต่างชาติ เกือบ 1,500 ล้านบาท และสถาบันในประเทศ สูงกว่า 3,300 ล้านบาทและเริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงาน – 1Q/61 ที่คาดมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มธนาคาร ที่จะทยอยประมาณกลางเมย. หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนพ.ค.
ขณะคาดภาพรวม SET ยังมีความผันผวน จากเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว คาดอาจมีแรงขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยง ภายใต้ความไม่แน่นอนจากประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีการตอบโต้ไปมา จากการทยอยประกาศรายการสินค้าที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้ง 2 ประเทศ แม้จะยังไม่มีบังคับใช้ในทันที และล่าสุดจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น
รวมถึงติดตามการประชุม กบง. วันที่ 20/4/61 หลังกระทรวงพลังงาน ให้ทบทวนโครงสร้างการกำหนดราคาหน้าโรงกลั่น ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะลดค่าพรีเมียมลง ซึ่งอาจส่งผลต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ส่วนกลุ่มธนาคาร หลังประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมที่ทำธุรกรรมผ่าน Internet Banking คาดตลาดส่วนใหญ่รับรู้ว่าจะส่งผลต่อผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร คาดชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป และคาดเริ่มปรับประมาณการปี’61 ลงทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรสุทธิ ซึ่งคาดส่งผลต่อประมาณการ EPS ปี’61F ของตลาด พร้อมคาดหลังจากนี้ไปมีแนวโน้มปรับเป้าหมาย SET Index ลง
นอกจากนี้ยังมีประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะจากการยื่นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ อาจส่งผลต่อ Road Map เลือกตั้งในเดือนก.พ.’ 62
อย่างไรก็ตามในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกจากความคืบหน้าโครงการ EEC ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอประกาศใช้เป็นกฎหมาย คาดส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน รวมถึงล่าสุด รมว.คมนาคม คาดในเดือนพ.ค. - มิ.ย.นี้ เสนอครม. เพื่อขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ และงานเดินรถ จะรวมเป็นรูปแบบ PPP และเตรียมจะเสนอ ครม.ได้ประมาณ 3Q/61
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น BBL, KTB
(2) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(3) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP
(4) กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น SPA
(5) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว เช่น AOT และ PSL จากค่าระวางเรือ
(6) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC ที่มีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.01 อยู่ที่ 2.79% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.28 อยู่ที่ 21.77
หุ้นแนะนำ : CPN
ข่าวเด่น