“ซื้อตามด้วยค่าบวก & SETเหนือ 1760”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ปัจจัยต่างประเทศ: Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐบวกเล็กๆ หลังตัวเลขค้าปลีกมี.ค.โตดีกว่าคาด (+0.6%MoM, +4.5%YoY) และนวค.คาดกำไรบจ.สหรัฐงวด 1Q61 จะ +16%YoY สูงสุดในรอบ 7 ปี โดยมาจากเศรษฐกิจที่โตดี และอัตราภาษีภาคธุรกิจที่ลดจาก 35% เป็น 21% ช่วยหนุน นอกจากนั้นยังไม่มีการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐกับรัสเซียหลังสหรัฐและชาติพันธมิตรโจมตีซีเรียที่ใช้อาวุธเคมีในขอบเขตจำกัดค่าเงิน US$ ที่พุ่งขึ้นกลับมาทรงๆที่ 89.4+/- และ US Bond Yied 10 ปีอ่อนกลับมาที่ 2.83% (จาก 2.86%) ตอนมีข่าวสหรัฐโจมตีซีเรีย
ปัจจัยจับตา คือ 1. ปัญหาความไม่สงบในซีเรีย ที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี แต่ก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อทางฝั่งต้นทุน (Cost push inflation) สูงขึ้น และอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยต้องปรับขึ้นเร็วกว่าคาด ติดตามดูว่าสหรัฐจะคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่จากประเด็นการใช้อาวุธเคมีในซีเรียหรือไม่, 2. ท่าทีสหรัฐเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าทั้งกับจีนและประเทศอื่น (ติดตามผลประชุมสุดยอดทรัมป์กับอาเบะวันนี้-17 เม.ย.), 3. สุนทรพจน์ของประธานเฟดแอตแลนตา & ดัลลัส เพื่อจับทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในระยะต่อไป, 4. ผลประชุมกบง.เรื่องการปรับลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น 20 เม.ย., 5. กฎเกณฑ์ใหม่ที่จะออกมาบังคับใช้กับ Non-bank ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะทำให้สเปรดดอกเบี้ยของกลุ่มสินเชื่อจำนำ ลิสซิ่ง และแฟคตอริ่ง ลดลง
มุมมองด้านกลยุทธ์ : การเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q61 อาจช่วยหนุนตลาดหุ้นระยะสั้นได้ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานยังโดดเด่นจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น & PTT แตกพาร์ หุ้นเด่นคือ PTT, PTTGC, IVL (คาด PTT ซื้อขายพาร์ใหม่ 1 บาทในต้นเดือนพ.ค.นี้) แต่...ถ้าสหรัฐกับรัสเซียเผชิญหน้ากันเรื่องซีเรียและสงครามการค้ายังดำเนินต่อก็ทำให้ดัชนีไปได้ไม่ไกล (ค่า VIX ที่ร่วงมายัง 16.56% ดูไม่ค่อยดี...ค่า VIX เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 20%) ดังนั้นหากรอบนี้ SET ปรับขึ้นแล้วไม่ผ่าน/และไม่สามารถยืนเหนือ 1800 จุดให้ขายออกไปก่อน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณเป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวกของหุ้นและ SET ไม่ต่ำกว่า 1760 (ต่ำกว่าระดับนี้ให้ Wait & see เพราะมีสิทธิลงไปที่ 1720-1700 หรือต่ำกว่าได้ ส่วนแนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1770-1780 (1790) สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น AMATA, GPSC, PTTGC, AAV, VIBHA, TOP, PTG ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BH, TISCO, DELTA, SPALI, SF, KCE, BANPU, CHG, HMPRO VGI ที่หลุด List คือ KTC, COM7 และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น PTT, AH
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ทรัมป์กำลังพิจารณากลับเข้าเป็นสมาชิก TPP
# ปธน.ทรัมป์ได้เชิญตัวนายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว และนายโรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ผู้แทนการค้าสหรัฐ เข้าพบที่ทำเนียบขาวเพื่อพิจารณาการกลับเข้าเป็นสมาชิก TPPแหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อตกลง TPP จะถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการรับมือกับข้อพิพาททางการค้ากับจีน
+ สหรัฐ : นักวิเคราะห์คาดกำไรบจ.สหรัฐจะโตราว 16%YoY ใน 1Q61
# นางลินซีย์ เบลล์ นักวิเคราะห์ของ CFRA คาดการณ์ว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะพุ่งขึ้น 16.3% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี จากระดับ 10.4% ในช่วงต้นปี เพราะได้ผลประโยชน์จากอัตราภาษีรายได้ภาคธุรกิจที่ลดลงจาก 35% เป็น 21%
+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนมี.ค. +0.6%MoM ดีกว่าคาด
# ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.6%MoM (+4.5%YoY) ในเดือนมี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากที่ปรับตัวลง 0.1% ในเดือนก.พ. ปัจจัยหนุน คือ การเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์ ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ปรับตัวขึ้น 0.4%MoM ในเดือนมี.ค. หลังจากทรงตัวในเดือนก.พ.
• สหรัฐ : ปัจจัยจับตา 1. สุนทรพจน์ประธานเฟดแอตแลนต้า & ดัลดัส 2. การประชุมสุดยอดทรัมป์ vs อาเบะ
1. จับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายราฟาเอล บอสติค ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา และนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัสในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
2. ติดตามการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์และนายอาเบะ ซึ่งตลาดกังวลว่าสหรัฐอาจจะกดดันญี่ปุ่นในประเด็นการค้า โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินเยน หลังจากที่สหรัฐได้ขึ้นบัญชีญี่ปุ่นและอีก 5 ชาติในรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองเนื่องจากมีพฤติกรรมการกำหนดค่าเงินที่ไม่เป็นธรรม
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 212.90 จุด
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 24,573.04 จุด พุ่งขึ้น 212.90 จุด หรือ +0.87% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,677.84 จุด เพิ่มขึ้น 21.54 จุด หรือ +0.81% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,156.28 จุด เพิ่มขึ้น 49.63 จุด หรือ +0.70% หนุนโดยคาดการณ์กำไร 1Q61 ที่จะเติบโตแกร่ง, ยอดค้าปลีกเดือนมี.ค.เติบโตมากกว่าคาด และสถานการณ์ในซีเรียยังไม่ร้ายแรงนัก
• ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาอ่อนลงแต่ BRENT ก็ยังสูงกว่า 70 ดอลลาร์/บาร์เรล
# โอเปกเปิดเผยรายงานประจำเดือนว่า การผลิตน้ำมันของโอเปกลดลง 201,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 31.96 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบกับเดือนก.พ. โดยอังโกลา แอลจีเรีย เวเนซุเอลา ซาอุดิอาระเบีย และลิเบียต่างลดกำลังการผลิต
โอเปกยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้เพิ่ม 30,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 1.63 ล้านบาร์เรล/วัน โดยได้รับแรงหนุนจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่คาดไว้ และการทำเหมืองจำนวนมากในอเมริกาและเอเชียแปซิฟิก
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ร่วงลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 66.22 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.16 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 71.42 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในซีเรีย
• ภาวะตลาดทองคำ : ราคาบวกต่อเล็กน้อย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.8 ดอลลาร์ หรือ 0.21% ปิดที่ 1350.70 ดอลลาร์/ออนซ์…ประเมินกรอบราคาทองคำในระยะสั้นไว้ที่ 1330-1370 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่นบจ.
+ PTT (ราคาปิด 550 บาท) : ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติแตกพาร์เป็น 1 บาทแล้ว คาดซื้อขายพาร์ใหม่ต้นพ.ค.นี้
# ในการประชุมผู้ถือหุ้น 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้บริษัทแตกพาร์จาก 10 บาทเป็น 1 บาทแล้ว...ซึ่งการแตกพาร์ไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง แต่ช่วยให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น เพราะราคาต่อหน่วยที่ต่ำลงเปิดทางให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายหุ้น PTT ได้มากขึ้น ทั้งนี้จะเริ่มซื้อขายราคาพาร์ใหม่ 1 บาทได้ราวต้นพ.ค.นี้
# สำหรับ PTTOR คาดว่าจะโอนสินทรัพย์เสร็จภายใน 3Q61 และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ปี 62
# เรามองว่าหุ้น PTT มีปัจจัยกระตุ้นอยู่หลายประเด็น ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหนุนกำไรของธุรกิจสำรวจและผลิต (PTTEP)} 2. การเข้าถือหุ้น IRPC เพิ่มเป็น 48% (เดิม 38.5%) ทำให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น, 3. สเปรดปิโตรเคมีที่แข็งแกร่งหนุนกำไรบริษัทร่วมทั้ง PTTGC & IRPC โดย IRPC จะมีกำไรเพิ่มขึ้นดีจากการโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภัณฑ์ Value added ด้วย, 4. มีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า PTTOR, 5. PTTEP มีโอกาสชนะประมูลสัมปทานแหล่งบงกชและเอราวัณ ซึ่งจะเปิด TOR ในช่วง 2Q61 นี้ และทราบผลประมูลปลายปี 61 เซ็นสัญญาต้นปี 62 แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเฉลี่ยใน Consensus อยู่ที่ 635 บาท/หุ้น (ราคาพาร์ 10 บาท) ซึ่งมี Upside จากราคาปิดล่าสุด 15%
- กลุ่มไฟแนนซ์ : จะมีกฎเกณฑ์ใหม่มากำกับดูแลธุรกิจ Non-bank
# สำนักงานเศรษฐกิจการคลังกำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นพ.ร.บ.กำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินพ.ศ. .... ถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ โดยกฎเกณฑ์ใหม่จะนำมาบังคับใช้กับสถาบันการเงินที่ไม่ได้ดูภายใต้การกำกับดูแลของธปท. ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด (พิโคไฟแนนซ์), สินเชื่อรับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถเป็นหลักประกันการชำระหนี้, (สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ), สินเชื่อเช่าซื้อแบบลิสซิ่งและแฟคตอริ่ง
# กฎเกณฑ์ใหม่จะเป็นการควบคุมการบริการทางการเงินไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค มีสัญญาที่เป็นธรรมและไม่คิดดอกเบี้ยสูงเกินกำหนด
# ผลกระทบ : เป็นลบต่อกลุ่มไฟแนนซ์ที่ดำเนินธุรกิจสินเชื่อจำนำ, ลิสซิ่งและแฟคตอริ่ง ซึ่งบจ.ใน DBSV Coverage ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ คือ MTLS ส่วน SAWAD ได้รับผลกระทบจำกัดเพราะได้มีการปรับโครงสร้างสินเชื่อในปี 60 ด้วยการโอนย้ายลูกหนี้ไปเป็นสินเชื่อของ BFIT ซึ่งเป็นบง.อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธปท.เป็นส่วนใหญ่แล้ว ในเชิงกลยุทธ์ DBS ให้ SAWAD เป็นหุ้น Top pick กลุ่มไฟแนนซ์ โดยให้ราคาพื้นฐาน 1 ปีที่ 80 บาท
ข่าวเด่น