Market summary
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา SET แกว่งตัวในกรอบแคบ โดยมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มโรงพยาบาล BH, BDMS และกลุ่ม ICT อย่าง ADVANC และ TRUE ในขณะที่มีแรงซื้อเด่นในกลุ่มค้าปลีกอย่าง HMPRO, GLOBAL, BJC พร้อมเกิด Technical rebound ในกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP, IRPC, ESSO และมีแรงซื้อเด่นใน TPIPL ภายหลังประกาศซื้อหุ้นคืน โดย ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,780.1 จุด (+2.09 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 4.7 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.0 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 2,723 ล้านบาท และเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 3,268 สัญญา
Investment theme
ติดตามการประชุม FED, ธปท.กลับมาเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตร : คืนนี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ เบื้องต้นคาดยังคงคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.50-1.75% อย่างไรก็ตามแนะติดตามถ้อยคำแถลงของบรรดาประธานสาขาต่างๆ และการรายงานตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งภาคผลิตและบริการรวมถึงภาคการจ้างงาน โดยเรามองว่า Fund manager ทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับการแถลงในสัปดาห์นี้สูง เนื่องจากจะส่งผลต่อการปรับสถานะสัดส่วนการถือครองพันธบัตรในระยะกลาง และสำหรับประเด็นค่าเงินบาท ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นอีกครั้ง (เมื่อปีที่ผ่านมา ได้ปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นจาก 4.0 หมื่นล้านบาทต่อสัปดาห์เป็น 3.0 หมื่น เพื่อชะลอแรงกดดันต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ) โดยเรามองว่าในระยะสั้น การปรับขึ้น 5 พันล้านบาท เป็น 3.5 หมื่นล้านต่อสัปดาห์ในเดือนพฤษภาคมนี้อาจส่งผลให้เกิดการชะลอการอ่อนค่าในระยะสั้น แตในระยะกลางอาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยสูงขึ้น
Investment Theme: เรามองว่าตลาดจะกลับมาเล่นบน Fundamental play อีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อ 6 เดือนก่อนถูกเก็งกำไรบน Liquidity play ค่อนข้างสูง โดยเราแนะนักลงทุนหันสะสมหุ้นกลุ่มที่คาดผลประกอบการจะดีในไตรมาสหนึ่งพร้อมเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสสอง ได้แก่ IVL, PTTEP, CPN และ LH
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – จีนเผย PMI ภาคผลิตเดือนเม.ย.ปรับตัวลงที่ 51.4 / สหรัฐรายงาน Core PCE ที่ 1.9% และ Trump ขยายเวลาเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมให้ยุโรป แคนนาดา และแม็กซิโก1 เดือน / สศอ.เผยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. เติบโต 2.62% ที่ 128.8 และ ก.พาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.07% (สูงสุดในรอบ 14 เดือน)
Stock pick : BJC
BJC : แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 68.00 บาท/หุ้น
การปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อประเทศไทยที่ 1.07% สูงที่สุดในรอบ 14 เดือน โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 0.68% โดยเริ่มเห็นผลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ที่สนค.ระบุสามารถช่วยลดค่าครองชีพได้ประมาณ 7.2% ในขณะที่เรามองว่ากลุ่มค้าปลีกจะได้ประโยชน์โดยตรงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจาก Policy risk ที่เริ่มเห็นได้ชัดใน 1 เดือนที่ผ่านมา ประเด็นดังกล่าวถือเป็นบวกอ่อนๆ ต่อกลุ่มค้าปลีก
คาดกำไร 1Q18 เติบโต 32%YoY ที่ 1,344 ล้านบาท เติบโตเกือบทุกธุรกิจ โดยเฉพาะกระป๋องจากเครื่องดื่มชูกำลัง และการขยายกำลังการผลิตขวดแก้วอีก 11% (และขยายเพิ่มอีกใน 3Q18 เป็น 26% เป็น 3,435 ตันต่อวัน) ในขณะที่คาด SSSG(%) ของ BIGC เติบโต 0.5%
เรามองว่า BJC จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากฟุตบอลโลก (ทั้งธุรกิจขวดแก้วและ สินค้า BIGC) ที่จะเริ่มแข่งในช่วงกลางเดือนมิถุนายน และครั้งนี้ถือเป็นเวลาการถ่ายทอดที่คนไทยสามารถดูได้ (เวลาประมาณ 1-5 ทุ่ม) ส่งผลให้เรามองว่ากำไร 2Q18 อาจจะไม่อ่อนตัวแรงตาม seasonal เหมือนในอดีต
Technical View
คอนเฟิร์มสัญญาณ Hammer ในกราฟรายวัน: ดัชนีแกว่งตัวออกข้างหลังเกิดสัญญาณ Hammer ในกราฟรายวัน แต่สามารถปิดยืนเหนือ 1778 ได้ ถือว่าเป็นการคอนเฟิร์มสัญญาณกลับตัวในระยะสั้น ซึ่งขณะนี้ MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal เป็นสัญญาณบวก จึงยังคงมองกรอบการแกว่ง 1770-1800 ส่วนกราฟรายเดือนก็มีแนวโน้มกลับตัวขึ้นแบบ Hammer เช่นกัน แต่ต้องรอสัญญาณของเดือนนี้เพื่อคอนเฟิร์มสัญญาณดังกล่าว
กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: Trading ในกรอบ 1770-1800 เน้นขึ้นขาย-ลงซื้อ หากหลุด 1770 แนะนำ Lock Profit 2) ไม่มีหุ้น: จังหวะอ่อนระหว่างวัน หากไม่หลุด 1770 มองเป็นโอกาสซื้อเพื่อเล่น Trading สั้นๆ
แนวรับ : 1770, 1760 แนวต้าน : 1790, 1800
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: การประชุม FED 1-2 พ.ค. / ยุโรปรายงานเงินเฟ้อ 3 พ.ค. / 4 พ.ค. สหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงาน และค่าแรง
ปัจจัยในประเทศ: -
หุ้นเทคนิค:
BJC (B 58.50-59.50, Tp 62.00//64.00, Cut 58.00)
PTT (B 56.00, Tp 59.00, Cut 55.00)
ข่าวเด่น