ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +94.81, NASDAQ +55.60, S&P +9.21, FTSE +64.45, CAC +15.37 และ DAX +128.54
ภายใต้ปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันดิบ WTI ที่เพิ่มขึ้นเหนือระดับ 70 USD/บาร์เรล ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี และอยู่ระหว่างติดตามท่าทีของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านหรือไม่?
ล่าสุดคาดจะประกาศการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในวันนี้ตามเวลาสหรัฐฯ (8/5/61) จากเดิมมีเวลาถึง 12/5/61 ซึ่งหากถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน จะปูทางให้สหรัฐฯ ทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อไปอีก
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยบวกเพิ่มจากหุ้นเนสท์เล่ หลังบริษัทประกาศทำข้อตกลงในการวางจำหน่ายสินค้าของสตาร์บัคส์ทั่วโลก โดยเนสท์เล่จะได้รับสิทธิ์ในการวางจำหน่ายสินค้านอกร้านของสตาร์บัคส์
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$1.01 อยู่ที่ US$70.73 ต่อบาร์เรล โดยปิดเหนือ 70USD เป็นครั้งแรกนับแต่พ.ย.’57 ภายใต้คาดการณ์ว่า สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน และอยู่ระหว่างติดตามว่า ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ จะตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านหรือไม่? ซึ่งมีเวลาถึง 12/5/61 นี้ หากมีการประกาศถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$0.6 อยู่ที่ US$1,314.1 ต่อออนซ์ หลังเงินสหรัฐฯ แข็งค่า และนักลงทุนลดการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -1,365 ล้านบาท ยอดสะสม -89,462 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 9 - 11 พ.ค. 61
8/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
1) ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมเดือนเม.ย.
9/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย.
(2) สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค.
(3) สต็อกน้ำมัน
10/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย.
(2) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
11/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ราคานำเข้าและส่งออกเดือนเม.ย.
(2) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ค.
ทิศทางตลาด
ผันผวน? แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ แต่คาดมีโอกาสเคลื่อนไหวในแดนบวก/ลบ ภายใต้ปัจจัยเดิมที่คาดยังมีน้ำหนักอยู่โดยเฉพาะ (+) หุ้นในกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเป็นระดับสูงสุดนับจากพ.ย.’57 ภายใต้คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน โดยมีเวลาถึง 12/5/61 นี้ ขณะที่ PTTEP ยังมีความน่าสนใจเฉพาะตัว จากการเข้าร่วมประมูลสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช-เอราวัณ โดยประกาศ PQ ในวันที่ 28/5/61 ทราบผลประมูลในเดือนธ.ค.’61 และคาดลงนามสัญญาก.พ.’62
อย่างไรก็ตามยังแนะติดตามการประชุมเฟด (12 – 13/6/61) หลังอัตราเงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมายที่ 2.0% พร้อมการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อยู่ในความคาดหมายของเฟด ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมตลาดหลังจากนี้จนถึงการประชุมเดือนหน้า
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ ยังอยู่ในช่วงประกาศผลการดำเนินงาน ที่คาดมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องถึงกลางพ.ค. แต่ (-) Fund Flow คาด Sentiment เป็นลบเพิ่มขึ้น หลังต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง YTD ยอดขายสุทธิสูงเกือบ 90,000 ล้านบาท ขณะที่เงินบาทกลับมาอ่อนค่า ล่าสุดเช้านี้ 31.82 -31.83 บาท
ทางด้านการเมือง โดยเฉพาะจากการยื่นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ อาจส่งผลต่อ Road Map เลือกตั้งในเดือนก.พ.’ 62
อย่างไรก็ตามในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกจากความคืบหน้าโครงการ EEC ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอประกาศใช้เป็นกฎหมาย คาดส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน รวมถึงล่าสุด รมว.คมนาคม คาดในเดือนพ.ค. - มิ.ย.นี้ เสนอครม. เพื่อขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ และงานเดินรถ จะรวมเป็นรูปแบบ PPP และเตรียมจะเสนอ ครม.ได้ประมาณ 3Q/61
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(2) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP, BANPU และ SPRC เป็นต้น
(3) กลุ่มสื่อ ได้รับประโยชน์จากรายได้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นโดดเด่น เช่น MONO
(4) กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น CENTEL, ERW และ SPA เป็นต้น
(5) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว เช่น AOT และ PSL จากค่าระวางเรือ และ BTS จากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
(6) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC ที่มีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.01 อยู่ที่ 2.95% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.02 อยู่ที่ 14.75
หุ้นแนะนำ : AP
ข่าวเด่น