Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายสูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรอย่าง PTT, PTTEP, PTTGC และ IVL, กลุ่ม ICT อย่าง ADVANC, TRUE, DTAC และกลุ่มโรงไฟฟ้าเกิดแรงขายทำกำไรนำโดย GULF, GPSC และ BCPG ในขณะที่เห็นแรงซื้อในกลุ่มอาหารและอิเล็กทรอนิกส์อย่าง KCE, HANA, DELTA และ TU และกลุ่มธนาคารเกิด Technical rebound ภายหลังมีกระแสข่าวชะลอการใช้ IFRS9 อย่าง BBL, SCB, KBANK ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,760.2 จุด (-19.5 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 6.0 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 4.4 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 2,868 ล้านบาท (MTD – 12,763 ล้านบาท) และเปิดสถานะ Long SET50 index future ที่ 16,121 สัญญา
Investment theme
SET แกว่งตัวตามกลุ่มพลังงาน ถือเป็นความเสี่ยงในระยะยาว: ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา SET มีทิศทางสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างเด่นชัด โดยค่า R-square YTD สูงกว่า 0.82 ในขณะที่ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 0.50) โดยเฉพาะกลุ่ม PTT อย่างเช่น PTT, PTTEP สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน และถือเป็นเหตุลที่ทำให้ตลาดหุ้นประเทศไทยและมาเลเซีย outperformed เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่าง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ปรับลงเฉลี่ยประมาณ 10% โดยเรามีมุมมองเชิงลบจากประเด็นดังกล่าวและมองว่าการที่ SET ปรับขึ้นจากกลุ่มพลังงานอย่างเดียว ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ที่สะท้อนภาพเศรษฐกิจในประเทศอย่าง ก่อสร้าง, อสังหา และ MAI ที่สะท้อนกลุ่ม SME ติดลบ ถือเป็นความเสี่ยงในระยะยาวและทำให้ SET ปรับขึ้นอย่างไม่มีเสถียรภาพ ในขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมา Trump ได้แถลงนำพาสหรัฐออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน พร้อมประกาศแผนมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ แต่อาจใช้เวลาประมาณ 90-180 วันในการพิจารณาแผนการคว่ำบาตรครั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวอาจเป็นการเปิดทางให้เกิดการเจรจาได้ ลักษณะคล้าย Trade war ที่เปิดช่องเวลาให้มีการเจรจากับจีน อย่างไรก็ตามยังไม่มีการยืนยันว่าการผลิตน้ำมันจากอิหร่านจะลดลงด้วยปริมาณเท่าไร (นักวิเคราะห์คาดประมาณ 200,000-500,000 บาร์เรล) จากกำลังผลิตประมาณ 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
Investment Theme: แนะถือเงินสดไม่ต่ำกว่า 30% พร้อมเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน และหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มที่ยังมีความเสี่ยง (ธนาคาร, โรงกลั่น)
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – สนง.ศุลกากรจีนรายงานตัวเลขส่งออกเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 12.9% ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงกว่า 21.5% เกินดุลการค้า 2.87 หมื่นล้านดอลลาร์
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนรับมือ Capital outflow
ปัจจุบันเราพบว่า มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นฝั่งเอเชียสูงนำโดยประเทศ ไต้หวัน,เกาหลีใต้, อินโดนีเซียและไทย ส่วนหนึ่งเกิดจาก Dollar index ที่กลับมาแข็งค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ถือเป็นต้นทุนการลงทุนที่สูงขึ้น
เรามองกรอบแนวรับ SET บริเวณ 1,760 และ 1,730 จุด โดยหากอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น PER 5 ปีย้อนหลังพบว่าอยู่บริเวณ 1,690 จุด ปัจจุบันหุ้นหลายกลุ่มในตลาดตอนนี้เผชิญกับความเสี่ยง และมี Downside นำโดยกลุ่มธนาคาร, กลุ่มโรงกลั่น, กลุ่ม TV Digital และอื่นๆ ในขณะที่ปัจจุบันขาดกลุ่มที่มีปัจจัยบวกอย่างมีนัยยะในการพยุง SET
อย่างไรก็ตาม เราแนะซื้อกลุ่มค้าปลีก (BJC, CPALL, CPN) และ รถไฟฟ้า (BTS) เมื่อราคาอ่อนตัวบริเวณ 9.10 บาท และกลุ่มอาหารที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทและคาดผลประกอบการจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2 เป็นต้นไป (คาดงบ1Q อ่อนตัว แต่เป็นโอกาสซื้อ) เช่น TKN แนะทยอยสะสม หลังงบออก
Technical View
หลุดแนวรับไหล่ขวา แนวโน้มกลับเป็นขาลงอีกครั้ง: แรงขายหุ้นกลุ่ม Big Cap. โดยเฉพากลุ่มพลังงาน ดัชนีจึงปรับตัวลงหลุดแนวรับไหล่ชวาของรูปแบบกลับตัวขึ้นแบบ Head and Shoulders หัวกลับที่ 1770 ทำให้รูปแบบดังกล่าวเสียไป และ Downside เปิดมากขึ้น มองแนวรับถัดไปที 1755 และ 1740 เนื่องจากเสียทรงการกลับตัวขึ้น จึงแนะนำให้ชะลอการลงทุน จนกว่าดังนีจะเริ่มสร้างฐานที่แนวรับและแนะนำจำกัดการลงทุนและเล่นเพียง Rebound สั้นๆ กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: ขายทำกำไรบางส่วนเนื่องจากหลุดแนวรับ 1770 และพิจารณาแรงขายตามแนวรับถัดๆไป 2) ไม่มีหุ้น: รอดูแนวโน้มที่แนวรับ จนกว่าดัชนีจะหยุดลง การ Trading แนะนำเป็นการเล่น Rebound สั้นๆ
แนวรับ : 1755, 1740 แนวต้าน : 1770, 1780
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: มาเลเซียเลือกตั้ง 9 พ.ค. นี้ /Trump เดินทางเยือนเกาหลีใต้ 22 พ.ค. /
ปัจจัยในประเทศ: -
หุ้นเทคนิค:
CPN (B 77.00-77.50, Tp 80.00//82.00, Cut 76.00)
CPALL (B 87.00, Tp 90.00, Cut 85.00)
ข่าวเด่น